ขณะนี้ราคาทองคำในตลาดโลกได้ปรับขึ้นไปทำระดับสูงสุดใหม่อย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุด ปรับตัวขึ้นทำ All Time High อีกครั้ง ที่ระดับ 2,640 ดอลลาร์สหรัฐต่อทรอยออนซ์ (ณ วันที่ 24 ก.ย. 2567 เวลา 12.15 น.)  ขณะที่ ราคาทองคำแท่ง 96.5% อยู่ที่ระดับ 41,000 บาทต่อบาททองคำ 

ส่วนราคาทองคำในประเทศนั้น แม้ว่าจะไม่ได้ปรับตัวขึ้นอย่างหวือหวา เนื่องจากได้รับแรงกดดันจากเงินบาทที่แข็งค่าเมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งทุกครั้งที่เงินบาทแข็งค่า 10 สตางค์ จะส่งผลให้ราคาทองคำในประเทศลดลง 90-120 บาทต่อบาททองคำ แต่ถึงอย่างนั้นราคาทองในประเทศก็ยังมีทิศทางปรับตัวขึ้นตามราคาทองคำในตลาดโลกที่มีแนวโน้มปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากแนวโน้มดังกล่าวจึงส่งผลให้ปัจจุบันมีกระแสเรื่องทองปลอมส่งผลให้นักลงทุนมีความกังวลมากขึ้น

วายแอลจีจึงมี 6 วิธีแนะนำการสังเกตทองคำ ดังนี้

1. สังเกตที่สีของทองต้องไม่ผิดเพี้ยน โดยเฉพาะสีคราบตรงรอยต่อ ไม่มีรอยถลอก รอยลอก

2. เลือกซื้อทองคำกับผู้ค้าที่มีความน่าเชื่อถือไว้ใจได้ และสังเกตตราประทับสัญลักษณ์ของร้านทองต้องชัดเจน

3. ตรวจสอบน้ำหนักทองคำให้ตรงกับจำนวนที่ซื้อ ขนาดทองคำต้องสัมพันธ์กับราคาทอง รวมถึงต้องขอใบเสร็จรับรองน้ำหนักทองคำจากผู้ขายทุกครั้ง

4. ไม่ซื้อทองคำที่ราคาต่ำกว่าราคาที่สมาคมค้าทองคำประกาศ เพราะมีความเสี่ยงที่จะเป็นทองปลอม

5. ทองคำแท้ไม่ดูดแม่เหล็ก เนื้อทองคำจะอ่อน รวมถึงเนื้อทองคำต้องไม่มีสิ่งปลอมปนทำให้ตัวทองคำบิดเบี้ยว

6. ทองคำแท้หากแช่กรดไนตริก จะไม่มีการเกิดปฏิกิริยาใดๆ ไม่เปลี่ยนสี หรือหลอมละลาย

โดยทองคำที่จำหน่ายอยู่ในประเทศไทยนั้นมี 2 มาตรฐาน แบ่งเป็นทองคำที่มีความบริสุทธิ์ 96.5% และทองคำที่มีความบริสุทธิ์ 99.99% ซึ่งราคาทองคำทั้ง 2 ประเภทนี้จะแตกต่างกัน ดังนั้นก่อนซื้อจะต้องสอบถามกับทางร้านค้าให้แน่ใจว่าเป็นทองมาตรฐานใด นอกจากนี้รูปแบบของการจำหน่ายทองคำกายภาพ ยังมีทั้งที่เป็นทองคำแท่งที่เริ่มจำหน่ายตั้งแต่ขนาดเล็กเพียง 1 กรัม ที่ทางวายแอลจีจัดจำหน่ายในรูปแบบการ์ดทองคำ จำหน่ายในราคาหลักพัน  ไปจนถึงทองคำแท่งน้ำหนัก 1 บาท ส่วนทองคำรูปพรรณนั้น มีทั้งแบบที่เป็นเครื่องประดับ และ แบบที่เป็นทองคำรูปแบบพิเศษ เช่น ปี่เซียะ กิมตุ้ง หรือเหรียญทองคำปีนักษัตรสำหรับสะสม เป็นต้น