‘การเปลี่ยนแปลงสู่สังคมคาร์บอนต่ำ’ กำลังเป็นประเด็นที่ทั่วโลกต่างให้ความสำคัญมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่รุนแรงขึ้น เหตุการณ์สุดขั้วทางธรรมชาติที่เกิดขึ้นบ่อยครั้ง และความตระหนักของประชาชนทั่วโลกที่เพิ่มขึ้น ส่งผลให้เกิดความพยายามในการแก้ไขวิกฤตดังกล่าวกันอย่างกว้างขวาง ไม่ว่าจะเป็น ความตกลงปารีส ซึ่งเป็นกฎหมายระหว่างประเทศฉบับแรกที่มีเป้าหมายในการควบคุมอุณหภูมิโลกไม่ให้เพิ่มขึ้นเกิน 2 องศาเซลเซียส เมื่อเทียบกับระดับก่อนยุคอุตสาหกรรม และพยายามจำกัดการเพิ่มขึ้นให้อยู่ที่ 1.5 องศาเซลเซียส,

ความร่วมมือระหว่างประเทศ ที่ประเทศต่างๆ ทั่วโลกกำลังร่วมมือกันในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกผ่านการจัดตั้งกลุ่มความร่วมมือต่างๆ อาทิ COP (Conference of the Parties) และการลงนามในข้อตกลงระหว่างประเทศ, การลงทุนในพลังงานสะอาด มีการลงทุนจำนวนมากในเทคโนโลยีพลังงานสะอาด อาทิพลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานลม และพลังงานจากชีวมวล ทำให้ต้นทุนของพลังงานสะอาดลดลงอย่างต่อเนื่อง ไปจนถึงการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ ด้วยการสร้างสรรค์อุตสาหกรรมใหม่ๆ ในภาคส่วนที่เกี่ยวข้องกับพลังงานสะอาด

เช่นเดียวกันกับสถานการณ์ในประเทศไทย ที่กำลังให้ความสำคัญกับการเปลี่ยนแปลงสู่สังคมคาร์บอนต่ำ ได้มีการดำเนินนโยบายและมาตรการต่างๆ เพื่อสนับสนุนเป้าหมายดังกล่าว เช่น แผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้า ที่มีการเพิ่มสัดส่วนของพลังงานหมุนเวียนในแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้า, มาตรการส่งเสริมยานยนต์ไฟฟ้า มีการให้สิทธิประโยชน์ต่างๆ เพื่อส่งเสริมการใช้ยานยนต์ไฟฟ้า, โครงการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในภาคอุตสาหกรรม มีการสนับสนุนให้ภาคอุตสาหกรรมลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกผ่านมาตรการต่างๆ ตลอดจนการสร้างความตระหนักรู้ให้ประชาชนตระหนักถึงปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และร่วมมือกันในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ซึ่งทั้งหมดที่กล่าวมานั้น จะเกิดขึ้นได้จริงก็ต่อเมื่อทุกภาคส่วน ทั้งรัฐ เอกชน และประชาชน ร่วมมือกัน

ดังที่ ‘เอสซีจี’ (SCG) หรือ ‘บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด’ ผนึกกำลังทุกภาคส่วน จัดเวทีขับเคลื่อนความยั่งยืนระดับสากล อย่าง ‘ESG Symposium’  เพื่อร่วมกันเร่งเปลี่ยนผ่านสู่สังคมคาร์บอนต่ำ ภายใต้แนวคิด ‘ยิ่งเร่งเปลี่ยน ยิ่งเพิ่มโอกาส’ สะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญของประเด็นสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG) ที่มีต่อธุรกิจและสังคมในปัจจุบัน

ต่อเนื่องมาจนครบ 1 ปี ความร่วมมือดังกล่าวเกิดความคืบหน้าชัด ทุกฝ่ายขานรับ ปรับวิธีคิด ‘ทำงานแบบบูรณาการ’ ยึดเป้าหมายเดียวกัน สื่อสารตรงไปตรงมา และลุยหน้างานจริง ช่วยปลดล็อค เพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน เห็นผลเป็นรูปธรรม ตาม 4 ข้อเสนอ จากงาน ESG Symposium 2023 ตั้งแต่ 1. การสร้าง ‘สระบุรีแซนด์บ็อกซ์’ เมืองต้นแบบคาร์บอนต่ำแห่งแรกของไทยให้เกิดขึ้นได้จริง 2. ส่งเสริมการก่อสร้างสีเขียวด้วยปูนซีเมนต์คาร์บอนต่ำ 3. เอกชนจับมือจัดการแพคเกจจิ้งใช้แล้วผ่านโครงการรีไซเคิลแบบ Closed-Loop และ 4. สนับสนุน SMEs เพิ่มโอกาสเข้าถึงความรู้เปลี่ยนธุรกิจสู่คาร์บอนต่ำ ผ่านโครงการ Go Together  โดยปีนี้ ทุกภาคส่วนกว่า 3,500 คน รวมพลังเร่งเปลี่ยนประเทศสู่สังคมคาร์บอนต่ำต่อเนื่องกันอีกครั้งกับ ‘ESG Symposium 2024’ ที่กำลังจะจัดขึ้น ในวันที่ 30 กันยายนนี้ ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์

‘ธรรมศักดิ์ เศรษฐอุดม’ กรรมการผู้จัดการใหญ่ เอสซีจี กล่าวว่า ตลอด 1 ปีที่ผ่านมา การเร่งเปลี่ยนไทยสู่สังคมคาร์บอนต่ำ เริ่มต้นจากการระดมสมองผู้เกี่ยวข้องกว่า 500 คน ในงาน ESG Symposium 2023 ออกมาเป็นข้อเสนอ 4 แนวทางในการกู้วิกฤติโลกเดือด ซึ่งมีความคืบหน้าที่สำคัญ อาทิ ยกระดับมาตรฐานอุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ในประเทศให้เป็นปูนซีเมนต์คาร์บอนต่ำแทนปูนซีเมนต์ปอร์ตแลนด์ ส่งเสริมเกษตรกรมีอาชีพ-รายได้เพิ่มด้วยการปลูกหญ้าเนเปียร์ เพื่อแปรรูปเป็นพลังงานทดแทน สนับสนุนการทำนาเปียกสลับแห้ง ลดใช้น้ำ ใช้ปุ๋ย และลดคาร์บอน ผลักดันการจัดการทรัพยากรอย่างคุ้มค่าตามแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน ผ่านการขยายผล ‘ตาลเดี่ยวโมเดล’ รวมถึงขับเคลื่อนโครงการธนาคารขยะ ถังขยะเปียกลดโลกร้อน เสริมแกร่งเครือข่ายป่าชุมชน 38 แห่ง แลกเปลี่ยนความรู้ สร้างเป็นซุปเปอร์มาร์เก็ตชุมชน ต่อยอดสู่การท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ ติดตั้งSolar Carport ที่ศูนย์ราชการ จ.สระบุรี ซึ่งจะขยายผลสู่หน่วยงานอื่นต่อไป

นอกจากนี้ ยังมีการส่งเสริมความรู้ให้แก่ SMEs ในการเปลี่ยนธุรกิจสู่คาร์บอนต่ำ ผ่านโครงการ Go Together โดยรุ่นแรกมีผู้เข้าร่วมกว่า 80 คน จากทั้งหมด 20 รุ่นทั่วประเทศ ตามแผนปี 2567-2568 ตั้งเป้าส่งต่อความรู้สู้โลกเดือดให้ SMEs 1,200 คน ขณะที่ โครงการเครื่องใช้ไฟฟ้ารักษ์โลก ซึ่งเป็นการจับมือระหว่างโฮมโปรและเอสซีจีซี เป็นตัวอย่างการนำเครื่องใช้ไฟฟ้าเก่ามารีไซเคิลแบบ Closed-Loop  อย่างไรก็ตาม สำหรับบางโครงการแม้ยังมีข้อติดขัด ทว่าก็มุ่งมั่นเดินหน้าต่อให้บรรลุเป้าหมาย อาทิ โครงข่ายไฟฟ้าอัจฉริยะ (Grid Modernization) รองรับการเปิดเสรี ซื้อ-ขายไฟฟ้าพลังงานสะอาด ไปจนถึงการสนับสนุน SMEs เข้าถึงแหล่งเงินทุน (Green Finance) ทั้งภายในและนอกประเทศ เพื่อเปลี่ยนกระบวนการผลิตให้เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม   

“ความคืบหน้าที่เกิดขึ้นได้นั้น มาจากการปรับวิธีคิด เน้นทำงานแบบบูรณาการ (Open Collaboration) มี 3 หัวใจหลัก 1. เป้าหมายร่วมกัน (Same Goal) คือเปลี่ยนไทยสู่สังคมคาร์บอนต่ำตาม NDC Roadmap (แผนที่นำทางการลดก๊าซเรือนกระจกของประเทศ)  2. แบ่งปันสื่อสาร (Open Communication) พูดคุยอย่างสร้างสรรค์ ตรงไปตรงมา เพื่อปลดล็อคข้อจำกัดต่างๆ ที่พบระหว่างการทำงาน  และ 3. ลงหน้างานจริง (Hands-on) ให้เข้าใจสถานการณ์ ข้อจำกัด และความต้องการของอีกฝ่าย แล้วนำมาปรับวิธีทำงานให้ตอบโจทย์เป้าหมายร่วมกันได้ดีที่สุด ช่วยให้งานมีประสิทธิภาพและรวดเร็วขึ้น หลังจากนี้ทุกภาคส่วนยังคงเดินหน้าเร่งขับเคลื่อนทุกโครงการ เพื่อให้สังคมคาร์บอนต่ำเกิดขึ้นจริงในประเทศไทย” ธรรมศักดิ์ กล่าวต่อ

สำหรับงาน ESG Symposium 2024 ภายใต้ธีม ‘Driving Inclusive Green Transition ยิ่งเร่งเปลี่ยน ยิ่งเพิ่มโอกาส’ ที่กำลังจะเกิดขึ้น ด้วยการนำข้อเสนอจากการหารือระหว่างผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง ประกอบไปด้วย 5 ด้านสำคัญ ได้แก่  1. Saraburi Sandbox โมเดลต้นแบบเมืองคาร์บอนต่ำแห่งแรกของไทย, 2. Circular Economy การใช้ทรัพยากรหมุนเวียนให้คุ้มค่าสูงสุด, 3. Just Transition การสนับสนุนทรัพยากรแก่ภาคส่วนต่าง ๆ ที่อยู่ในกระบวนการเปลี่ยนผ่าน, 4. Technology for Decarbonization การพัฒนาเทคโนโลยีลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และ 5. Sustainable Packaging Value Chain การจัดการแพคเกจจิ้งทั้งระบบอย่างยั่งยืน  มานำเสนอต่อรัฐบาล เพื่อร่วม-เร่ง-เปลี่ยนไทยสู่สังคมคาร์บอนต่ำให้เร็วขึ้นกว่าเดิม

“การเปลี่ยนสู่สังคมคาร์บอนต่ำไม่เพียงช่วยบรรเทาความรุนแรงของวิกฤตโลกเดือด แต่ยังเพิ่มความสามารถในการแข่งขันให้กับธุรกิจและประเทศ โดยเฉพาะในภาวะเศรษฐกิจขาลง ตลาดแข่งขันสูงจากสินค้านำเข้าจากจีน การบังคับใช้มาตรการ CBAM ที่จะกระทบต่อภาคการผลิต นำเข้า และส่งออกผลิตภัณฑ์ที่ปล่อยคาร์บอน เราจึงต้องเร่งเปลี่ยนประเทศสู่สังคมคาร์บอนต่ำ ควบคู่ไปกับการสร้างความสามารถในการแข่งขันด้วยวิธีการอื่นๆ ด้วยความร่วมมือกันจากทุกภาคส่วน” ธรรมศักดิ์ กล่าวสรุป

ด้าน ‘บัญชา เชาวรินทร์’ ผู้ว่าราชการจังหวัดสระบุรี เปิดเผยว่า การเปลี่ยนจังหวัดสระบุรี ซึ่งเป็นเมืองอุตสาหกรรมของประเทศให้เป็นเมืองคาร์บอนต่ำแห่งแรกของไทย ถือเป็นเรื่องที่ท้าทายเป็นอย่างมาก ทว่าสำเร็จได้ด้วยโมเดล PPP หรือ Public-Private Partnership ที่ทุกภาคส่วนเล็งเห็นเป้าหมายเดียวกัน และขับเคลื่อนไปพร้อมกัน ซึ่งเห็นได้ชัดจากการนำหลักเศรษฐกิจหมุนเวียนมาใช้ในการจัดการวัสดุเหลือใช้ทั่วทั้งจังหวัด เช่น โครงการธนาคารขยะ ขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น สนับสนุนชุมชนคัดแยกขยะครัวเรือนตั้งแต่ต้นทาง ปัจจุบันดำเนินการครบทั้ง 108 องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เกิดเป็นกองทุนธนาคารขยะ 123 กองทุน ซึ่งช่วยลดภาระงบประมาณการจัดเก็บและขนย้ายขยะมูลฝอยขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น, โครงการถังขยะเปียกลดโลกร้อน มีคาร์บอนเครดิตที่ได้รับการรับรองจากองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (อบก.) จำนวน 3,495 ตัน CO2 เทียบเท่า สร้างรายได้ให้ชุมชนเกือบ 1 ล้านบาท, โครงการปลูกพืชพลังงาน เช่น หญ้าเนเปียร์ เพื่อแปรรูปเป็นเชื้อเพลิงชีวมวลใช้ทดแทนเชื้อเพลิงฟอสซิล ก็ได้ปลดล็อคด้วยการให้ความรู้แก่เกษตรกร เป็นตัวกลางเชื่อมให้ภาคอุตสาหกรรมมารับซื้อ สร้างความมั่นใจในด้านรายได้ให้เกษตรกร ปัจจุบันปลูกแล้วกว่า 100 ไร่ ที่ อ.แก่งคอย จ.สระบุรี คาดว่าสามารถแปรรูปเป็นพลังงานทดแทนได้ 2,100 ตัน สร้างรายได้ให้เกษตรกร 2.5 ล้านบาทต่อปี และยังลดการปล่อยคาร์บอนได้ 2,500 ตัน CO2 เทียบเท่า

ขณะที่ ‘ชนะ ภูมี’ นายกสมาคมอุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ไทย (TCMA) กล่าวว่า ฐานกำลังการผลิตปูนซีเมนต์ของประเทศกว่าร้อยละ 80 อยู่ที่สระบุรี พื้นที่ดังกล่าวจึงเปรียบเสมือนบ้านของผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ จึงอยากพัฒนาบ้านหลังนี้ให้ดีขึ้น โดยร่วมกับทุกภาคส่วนเร่งเปลี่ยนสระบุรีให้เป็นเมืองคาร์บอนต่ำแห่งแรกของไทย เริ่มจากพัฒนาปูนซีเมนต์ไฮดรอลิค (Hydraulic Cement) ซึ่งเป็นปูนซีเมนต์คาร์บอนต่ำ ที่ลดการปล่อยคาร์บอนจากการผลิต และสนับสนุนให้ใช้ในโครงการก่อสร้างของภาครัฐ ซึ่งปัจจุบันสัดส่วนการใช้ปูนซีเมนต์คาร์บอนต่ำแทนปูนซีเมนต์ปอร์ตแลนด์ สูงถึงกว่าร้อยละ 80 ช่วยลดการปล่อยคาร์บอนได้ถึง 1,169,673 ตัน CO2 (ข้อมูลสะสม มกราคม 2565 ถึงมีนาคม 2567) ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการดำเนินงานตามเป้าหมายของ จ.สระบุรี โดยไทยตั้งเป้าเป็นประเทศแรกในเอเชียที่จะไม่มีปูนซีเมนต์ปอร์ตแลนด์ภายในปี 2568 ทั้งยังมีแผนการใช้ปูนซีเมนต์คาร์บอนต่ำประเภทใหม่ๆ ที่ลดการปล่อยคาร์บอนจากกระบวนการผลิตได้มากขึ้น

สำหรับแนวทางการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาด ได้ทำงานร่วมกับมหาวิทยาลัยพรินซ์ตัน (Princeton University) สหรัฐอเมริกา ซึ่งมีความชำนาญและเครื่องมือในการจัดทำแผนการเปลี่ยนแปลงพลังงานเป็นการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างที่สำคัญในการจัดหาและการใช้พลังงานในระบบพลังงาน (Energy Transition) ของสหรัฐอเมริกา โดยร่วมกันประเมินเส้นฐานการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในภาคพลังงาน และกำหนด Energy Roadmap ของ จ.สระบุรี รวมถึงประเมินแนวทางการใช้พื้นที่ของจังหวัดฯ ทำเป็น Solar PV พลังงานสะอาด เพื่อให้เกิดความรวดเร็วและลดค่าใช้จ่ายดำเนินงาน นอกจากนั้นควรเร่งพัฒนา Green Infrastructure หรือ โครงสร้างพื้นฐานสีเขียว รองรับการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาดของประเทศ โดยศึกษากระบวนการเปลี่ยนผ่านพลังงานของจีน ที่มีการแบ่งลำดับขั้นตามความพร้อมของแต่ละอุตสาหกรรม รวมถึงตัวอย่างของไต้หวันที่มีโครงสร้างไฟฟ้าแบบการประมูลรายวัน ปัจจุบันเรามีความร่วมมือกับทั้ง 2 ประเทศในการพัฒนา Grid Modernization ในสระบุรีแซนด์บ็อกซ์

อีกหนึ่งความร่วมมือจากภาคเอกชน อย่าง‘วีรพันธ์ อังสุมาลี’ กรรมการผู้จัดการ บริษัท โฮม โปรดักส์ เซ็นเตอร์จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า โฮมโปรในฐานะผู้นำเรื่องบ้าน เล็งเห็นถึงความต้องการของผู้บริโภคที่ต้องการเปลี่ยนสินค้าในบ้าน ทว่าอาจยังไม่ทราบวิธีจัดการสินค้าใช้แล้วอย่างถูกต้อง จึงริเริ่มโครงการ Closed-Loop Circular Products ซึ่งเป็นการนำสินค้าที่ใช้งานแล้วจากลูกค้าโฮมโปร มาจัดการอย่างถูกวิธี โดยคัดแยกชิ้นส่วนที่สามารถนำไปรีไซเคิลใหม่ และได้รับความร่วมมือจากเอสซีจีซี ที่มีเป้าหมายด้านการพัฒนาอย่างยั่งยืน มาช่วยพัฒนาสูตรพลาสติกรีไซเคิลคุณภาพสูง หรือ กรีน พอลิเมอร์ (Green Polymer) เพื่อนำกลับมาผลิตอีกครั้งเป็นสินค้ารักษ์โลกให้กับลูกค้าโฮมโปร ปัจจุบันโฮมโปรมีผลิตภัณฑ์หมุนเวียน ตั้งแต่เครื่องใช้ไฟฟ้า อย่างตู้เย็น เครื่องทำน้ำอุ่น พัดลม ไปจนถึงกระเบื้อง กล่องอเนกประสงค์ ถุงช้อปปิ้ง และอื่น ๆ ซึ่งการส่งเสริมให้เกิดผลิตภัณฑ์หมุนเวียนด้วยระบบ Closed-Loop ถือเป็นภารกิจที่ตอบเป้าหมายการบรรลุความเป็นกลางทางคาร์บอนในปี 2593 ของโฮมโปรได้อย่างเป็นรูปธรรม

ไม่เพียงเท่านี้ยังมีความร่วมมือจากวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม อย่าง‘แสงชัย ธีรกุลวาณิช’ ประธานสมาพันธ์เอสเอ็มอีไทย โดยกล่าวว่า ความท้าทายของผู้ประกอบการรายย่อยไทยต่อจากนี้ คือการปรับธุรกิจให้เข้ากับกฎเกณฑ์ใหม่ที่เกิดจากประเด็นความห่วงใยด้านสิ่งแวดล้อมและสภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนไป เช่น Thailand Taxonomy มาตรฐานการจัดกลุ่มกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมของไทย หรือ CBAM มาตรการปรับราคาคาร์บอนก่อนข้ามพรมแดนของสหภาพยุโรป ซึ่งเป็นเสมือนกำแพงทางการค้า ธุรกิจที่ปรับตัวได้ก่อน จะสามารถก้าวข้ามข้อจำกัดดังกล่าวและพาธุรกิจอยู่รอดได้เร็ว ดังนั้นสมาพันธ์เอสเอ็มอีไทยจึงสนับสนุนกลุ่มเอสเอ็มอีให้เข้าถึงความรู้ มาตรฐานใหม่ๆ เทคโนโลยีกระบวนการผลิตเป็นมิตรสิ่งแวดล้อม รวมถึงแหล่งเงินทุนสีเขียวทั้งในและนอกประเทศสำหรับใช้ในการปรับธุรกิจ เน้นสร้างกลไกเชื่อมโยงอย่างเป็นระบบ เพิ่มโอกาสเข้าถึงและใช้ประโยชน์จากมาตรการต่างๆ ทั้งการเงิน ส่งเสริมความรู้ การใช้เทคโนโลยีดิจิทัล นวัตกรรม และการทำตลาดทั้งในและต่างประเทศ นอกจากนี้ ยังต้องขอรับการสนับสนุนจากภาครัฐเพื่อช่วยเอสเอ็มอีให้ร่วมยกระดับเศรษฐกิจฐานรากสู่ความยั่งยืนอีกด้วย

ทั้งนี้ งาน ESG Symposium 2024 จะจัดขึ้นวันที่ 30 กันยายนนี้ ณ Hall 1 ชั้น G ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ เวลา 11.00-16.30 น. โดยมีวิทยากรระดับโลกร่วมแบ่งปันประสบการณ์ และตัวอย่างที่หลากหลายในการเปลี่ยนประเทศสู่สังคมคาร์บอนต่ำ พร้อมชมนิทรรศการจำลองการใช้ชีวิตแบบโลว์คาร์บอน โดยสามารถรับชมการถ่ายทอดสดได้ทาง Facebook และ Youtube ของเอสซีจี