นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เปิดเผยว่า ในเรื่องของการเตรียมความพร้อมรองรับราคาพลังงานที่เพิ่มขึ้นจากความไม่แน่นอนของสงครามในตะวันออกกลาง สภาพัฒน์มองว่าไประเทศไทยต้องเตรียมความพร้อมในระยาว โดยเรื่องการเจรจาพื้นที่ทับซ้อนทางทะเล (OCA) รัฐบาลไทยและกัมพูชากำลังทำงานเรื่องนี้ร่วมกัน ซึ่งต้องเจรจาโดยคำนึงถึงผลประโยชน์ของทั้งสองประเทศ โดยรูปแบบใช้การพัฒนาพื้นที่ร่วมระหว่างไทยกับมาเลเซีย (JDA) ที่เคยทำสำเร็จมาแล้ว ส่วนเรื่องของเงินทุนในการลงทุนคิดว่าเรื่องนี้ไม่เป็นปัญหาในการดำเนินการ ซึ่งมีหลายรูปแบบที่สามารถดำเนินการได้ 

“บริเวณดังกล่าวถือว่ามีทรัพยากรธรรมชาติด้านพลังงานที่สามารถนำมาใช้ประโยชน์เพื่อสร้างความมั่นคงด้านพลังงานให้กับทั้งสองประเทศได้ในระยะยาวและรองรับความผันผวนของราคาพลังงานในกรณีที่มีความขัดแย้งบริเวณแหล่งผลิตน้ำมันที่ประเทศไทยนำเข้า ซึ่งอาจมีการขยายพื้นที่สงครามได้ ” นายดนุชา กล่าว

เมื่อถามว่าการดึงต่างชาติเข้ามาลงทุนในอุตสาหกรรมเป้าหมาย เช่น เรื่องอุตสาหกรรมชิปต้นน้ำรัฐบาลควรมีมาตรการอย่างไร นายดนุชา กล่าวว่า เรื่องนี้รัฐบาลดำเนินการมาต่อเนื่อง มีการให้สิทธิประโยชน์ในการลงทุน โดยสิ่งที่ต้องทำเพิ่มเติม คือ การเพิ่มทักษะแรงงานให้มีความเชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมนี้มากขึ้น ซึ่งตรงนี้ก็มีการทำกับสถาบันศึกษาต่างๆ ในการผลิตบุคคลากรที่มีความเกี่ยวข้อง ส่วนการใช้เงินในกองทุนเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันถือว่าเป็นเครื่องมือที่จำเป็น เพราะต้องยอมรับว่าการดึงบริษัทขนาดใหญ่ที่มีเทคโนโลยีชั้นนำในอุตสาหกรรมนี้ ต้องมีการให้แรงจูงใจที่มากพอ ซึ่งส่วนหนึ่งการให้เงินอุดหนุน ซึ่งรัฐบาลกำลังจะเพิ่มขนาดกองทุนนี้ให้มีขนาดใหญ่ขึ้นเพื่อให้ในหารเจรจาดึงลงทุนเรามีเครื่องมือที่จะใช้เป็นข้อเสนอการจูงใจดึงการลงทุนได้

“ปัจจุบันกองทุนนี้น่าจะมีเงินเหลืออยู่ประมาณ 5,000 ล้านบาท แต่ก็ได้มีการทยอยใช้ในการสนับสนุนให้อุตสาหกรรมเป้าหมายมาลงทุนในไทยไปมากพอสมควรแล้ว ก็ต้องดูว่าจะมีงบประมาณที่เพิ่มเข้ามาในกองทุนนี้ไหร่แต่ที่อาจจะต้องมีเงินในหองทุนนี้ 2-3 หมื่นล้านบาท  เพื่อที่จะให้ความมั่นใจในการเจรจากับนักลงทุนว่าเราที่จะสนับสนุนได้” นายดนุชา กล่าว