สำนักข่าวเอเอฟพีรายงานจากกรุงวอชิงตัน สหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 19 ก.ย. ว่าแคมป์เบลล์ กล่าวต่อคณะกรรมาธิการกิจการวิเทศสัมพันธ์ ของสภาผู้แทนราษฎรว่า “จีนคือความท้าทายครั้งสำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์ของสหรัฐ“ ซึ่งไม่สามารถเทียบได้กับสงครามเย็น เพราะความท้าทายไม่จำกัดแค่ด้านการทหาร แต่ยังรวมถึงซีกโลกใต้ เทคโนโลยี และทุก ๆ ด้าน
แคมป์เบลล์กล่าวต่อไปว่า พันธมิตรในยุโรปส่วนใหญ่ของรัฐบาลวอชิงตัน มีความกังวลเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับสหรัฐ หลังได้รับผลกระทบจากการที่รัสเซียลดการส่งออกพลังงาน “ประเทศเหล่านี้มีข้อตกลงสำคัญทางธุรกิจกับจีนมาเป็นเวลา 15 หรือ 20 ปี” เขากล่าว ดังนั้น การดำเนินการกับจีนต่อจากรัสเซีย อาจทำให้ผู้นำในยุโรปวิตกกังวล
เจ้าหน้าที่ระดับสูงของรัฐบาลวอชิงตันมองว่า ความตึงเครียดระหว่างสหรัฐกับจีนลดลงบ้าง ในยุคของประธานาธิบดีโจ ไบเดน แต่นายโดนัลด์ ทรัมป์ อดีตผู้นำสหรัฐ และผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีจากพรรครีพับลิกัน มักกล่าวถึงรัฐบาลปักกิ่งด้วยวาทกรรมแบบสงครามเย็น ตรงข้ามกับไบเดนและนางกมลา แฮร์ริส รองประธานาธิบดีและแคนดิเดตของพรรคเดโมแครต ซึ่งยืนยันว่า สนับสนุนการเจรจากับจีน แม้รัฐบาลไบเดนเพิ่งออกมาตรการที่เข้มงวดทางเศรษฐกิจกับจีน รวมถึงการห้ามส่งออกชิปขั้นสูง
นับตั้งแต่การประชุมสุดยอดระหว่างไบเดน กับประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ผู้นำจีน ที่รัฐแคลิฟอร์เนีย เมื่อปีที่แล้ว แคมป์เบลล์กล่าวว่า จีนตอบสนองต่อคำขอสำคัญของรัฐบาลวอชิงตัน ในการฟื้นฟูการสื่อสารทางทหาร และการปราบปรามส่วนผสมในเฟนทานิล ซึ่งก่อให้เกิดปัญหาการใช้ยาเกินขนาดในสหรัฐ
แคมป์เบลล์กล่าวว่า รัฐบาลวอชิงตันได้เสริมสร้างพันธมิตรของสหรัฐ พร้อมยกตัวอย่าง การที่รัฐบาลจีนตอบสนองคำขอจากไบเดน ด้วยการปล่อยตัวบาทหลวงเดวิด หลิน ซึ่งถูกคุมขังในเรือนจำของจีนตั้งแต่ปี 2549 ในสัปดาห์นี้.
เครดิตภาพ : GETTY IMAGES