เมื่อเวลา 11.40 น. วันที่ 19 ก.ย. ที่รัฐสภา ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ที่มีนายภราดร ปริศนานันทกุล รองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่ 2 ทำหน้าที่ประธานการประชุม  โดยมีการพิจารณากระทู้ถามสดด้วยวาจาของ น.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน (ปชน.) เรื่องโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจแจกเงินให้กลุ่มเปราะบาง ถามนายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง ทั้งนี้นายพิชัย มอบหมายให้นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รมช.คลัง ชี้แจงแทน

น.ส.ศิริกัญญา  ตั้งคำถามต่อโครงการดิจิทัลวอลเล็ต ที่ปรับเป็นโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจปี 2567 ผ่านผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐและคนพิการ ที่ตั้งข้อสังเกตว่ารัฐบาลไม่แจ้งรายละเอียดที่ชัดเจนกับผู้ได้รับสิทธิทำให้เกิดความยุ่งยากและสร้างความเดือดร้อนกับประชาชน นอกจากนั้นแล้วการลงทะเบียนในกลุ่มของร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการ ที่ยังไม่มีความชัดเจน

“ขอให้ตอบชัดๆ ว่า จะแจกเมื่อไร กี่ครั้ง กี่คน และกี่บาท การเลื่อนครั้งนี้จะเลื่อนถึงเมื่อไร หากดูสถานการณ์การชี้วัดตัวไหนอีก ขอให้บอกให้ชัด ไม่ให้ประชาชนเกิดความหวังลมๆ แล้งๆ เป็นคนมีสิทธิ กลุ่มเปราะบางและไม่เปราะบาง รวม 40 ล้านคน แต่งบประมาณขณะนี้ มี 3.4 แสนล้านบาทเท่านั้น” น.ส.ศิริกัญญา  กล่าว

น.ส.ศิริกัญญา ถามต่อว่าระบบการชำระเงิน ที่เป็นหัวใจหลักของกระเป๋าเงิน ถูกยกเลิกการประกวดราคา วันที่ 27 ส.ค.นี้เพราะไม่มีบริษัทใดที่ยื่นเสนอราคา เท่ากับว่าระบบชำระเงินไม่เริ่มประกวดราคา และพิมพ์เขียวที่จะส่งให้ธนาคารพาณิชย์พัฒนาระบบยังไม่ทำ และไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน ทั้งนี้อุปสรรคที่จะไม่ได้จากดิจิทัลวอลเล็ต คือ การเข้าไม่ถึงบัญชีเงินฝากของบุคคล เพื่อกรองคนที่ได้สิทธิ ทำให้ต้องเลื่อนการประกาศสิทธิออกไปแบบไม่มีกำหนด

ด้านนายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รมช.คลัง ชี้แจงว่า เหตุผลที่แจ้งรายละเอียดล่าช้า เพื่อรอกระบวนการทางกฎหมายที่ชัดเจน ส่วนการผูกพร้อมเพย์นั้นที่สร้างความเดือดร้อนให้ประชาชนตนขออภัย ทั้งนี้การผูกพร้อมเพย์นั้น ผู้พิการที่ได้รับเงินรายเดือนและมีกระบวนการโอนเงินผ่านช่องทางที่สมบูรณ์ ส่วนผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 13.5 ล้านราย มีผู้ได้สิทธิซ้ำผู้พิการ 1.1 ล้านราย ทั้งนี้มี 1 ล้านรายที่ไม่ได้ผูกพร้อมเพย์ ทั้งนี้รัฐบาลจะเพิ่มการประชาสัมพันธ์ให้ดีมากขึ้น

นายจุลพันธ์ ชี้แจงด้วยว่าสำหรับเฟสถัดไปในกลุ่มที่เหลือ ยืนยันทำดิจิทัลวอลเล็ต เพื่อได้ประโยชน์ในการวางโครงสร้างพื้นฐานของดิจิทัลของรัฐ ทั้งนี้ข้อท้วงติงต่อการผูกพันงบประมาณข้ามปี รัฐบาลมั่นใจว่าสามารถทำได้ แต่ไม่ต้องการให้เกิดปัญหาถูกร้องเรียนเกิดขึ้นเนื่องจากในสถานการณ์การเมืองปัจจุบัน ไม่ใช่เป็นความเสี่ยงของรัฐบาลเท่านั้น แต่กระทบต่อปากท้องของประชาชน เพราะความไม่มีเสถียรภาพของรัฐบาลชุดใดๆ  สังคมไม่มั่นใจในการลงทุน การใช้สอย เป็นผลเชิงลบของระบบเศรษฐกิจ ทั้งนี้วิธีนี้ขจัดข้อสงสัยของฝ่ายค้านและสังคม ดังนั้นเชื่อมั่นให้ระบบเศรษฐกิจไทยเดินหน้าเข้มแข็ง

นายจุลพันธ์ ชี้แจงต่อคำถามขอความชัดเจนในโครงการและการลงทะเบียนว่า ในส่วนของเฟส 2 มีงบประมาณ 187,000 ล้านบาท ทั้งนี้มีการลงทะเบียนแล้ว 36 ล้านคน แต่ยังไม่ได้คัดกรอง ต้องรอกระบวน 2-3 อย่าง ทั้งนี้กลุ่มที่ไม่มีสมาร์ตโฟนมีประมาณ 4 ล้านราย โดยส่วนใหญ่เป็นกลุ่มเปราะบาง ดังนั้นตัวเลขที่ตรวจสอบแล้วจะเป็นตัวเลขที่ชัดเจน ทั้งนี้งบที่มีอยู่ หากขาดอีกไม่มาก จะดำเนินการเพื่อจ่ายในทีเดียว แต่หากไม่พออาจจะแบ่งยอด

“เดิมกระตุ้นครั้งเดียวก้อนใหญ่ เพื่อให้เป็นแรงกระแทกสูง เมื่อโครงการปรับเป็นระลอก ต้องรักษาแรงเหวี่ยงของเศรษฐกิจให้เดินหน้าเข้มแข็ง ดังนั้นต้องรอความชัดเจนของการลงทะเบียน เบื้องต้นจะอยู่ในกรอบเดือน ต.ค.”นายจุลพันธ์ กล่าว

รมช.คลัง ชี้แจงถึงประเด็นการประกาศผู้ได้รับสิทธิว่า ระบบชำระเงิน คือ พีจีเอ ว่า ตนรับทราบแต่ไม่ได้เกี่ยวข้องในขั้นตอนจัดซื้อจัดจ้าง ทั้งนี้ตามที่มีคนบอกว่ามีการล็อกคนไว้แล้ว แต่เมื่อเกิดขึ้นจริงเห็นว่าไม่มีการล็อก และโปร่งใส การเปิดประมูลนั้นเลื่อนออกไป อย่างไรก็ดีการเชื่อมวอลเล็ตกลางต้องการเชื่อมธนาคารของรัฐ แต่ต้องเลื่อนเพราะเปลี่ยนรัฐบาล

“ตั้งเป้าเสร็จปลายปี แต่ต้องเลื่อนไปหลังปีใหม่ ยอมรับความจริงในกระบวนการของสภา เลือกนายกรัฐมนตรี ตั้งกรรมการชุดใหม่ กระทบพัฒนาระบบในบางมิติ แต่การพัฒนาซอฟต์แวร์ของรัฐสามารถเดินหน้าต่อไป ซึ่งการพัฒนาระบบชำระเงินเดินหน้าอย่างเป็นรูปธรรม จะเสร็จในเร็ววัน แต่ที่ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีให้ข้อคิดไว้ คือ ต้องเพิ่มระยะเวลาทดสอบ ตรวจสอบให้ละเอียดว่าระบบเพย์เมนต์กลางไม่มีปัญหาด้านใดๆ” รมช.คลัง กล่าว.