เมื่อวันที่ 16 ก.ย. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ช่วงเย็นที่ผ่านมา พ.ต.ท.สันตสิริ เมตตาวงศ์ พนักงานสอบสวน สภ.เมืองพิษณุโลก รับแจ้งจากประชาชนว่าพบเห็นกลุ่มควันพวยพุ่งภายในวัดศรีรัตนาราม(จูงนาง) หมู่ที่ 5 ต.ท่าทอง อ.เมือง จ.พิษณุโลก จึงประสานรถดับเพลิงจากเทศบาลตำบลท่าทอง พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่กู้ภัยสมาคมกู้ภัยข่าวภาพร่วมเดินทางเข้าตรวจสอบและระงับเหตุ เมื่อไปถึงพบว่า มีเพลิงไหม้ในอุโบสถวัดศรีรัตนาราม ควันสีดำพวยพุ่งออกมาจากด้านในจำนวนมาก รถดับเพลิงจากเทศบาลตำบลท่าทอง จึงได้เร่งฉีดน้ำสกัด พร้อมเปิดประตูด้านหลัง และหน้าต่าง ใช้พัดลมระบายกลุ่มควันออก

จากการตรวจสอบด้านในพบว่าบริเวณโต๊ะหมู่บูชาด้านหน้าองค์พระประธาน พร้อมด้วยพรม และแท่นรองโต๊ะหมู่บูชา อาสนะสงฆ์ ไฟไหม้ได้รับความเสียหาย จึงเร่งฉีดน้ำและรื้อพรมออกทั้งหมด พร้อมกับขนย้ายพระพุทธรูป หนังสือสวดมนต์ และอุปกรณ์ต่าง ๆ ออกมาด้านนอก พร้อมฉีดน้ำสกัดที่บริเวณองค์พระประธาน แท่นนั่งสวนมนต์ ประตูอุโบสถด้านหลัง เพื่อป้องกันความร้อนและเพลิงลุกไหม้ ใช้เวลาประมาณ 20 นาที จึงสามารถควบคุมเพลิงและกลุ่มควันไว้ได้

ด้าน นายศตรายุ กล้าหาญ ผู้ใหญ่บ้านหมู่ 5 ต.ท่าทอง ได้บอกว่าขณะนั้นกำลังเป็นช่วงเวลาเลิกเรียน และมีพิธีฌาปนกิจศพอยู่ มีคนวิ่งไปตามว่ามีควันสีดำออกมาจากภายในอุโบสถ ตนจึงรีบวิ่งมาดูก็พบว่ควันมีจำนวนมากแต่เปิดประตูไม่ได้ จึงประสานคณะกรรมการวัดมาเปิด และเรียกรถดำเพลิง พร้อมแจ้งกู้ภัยเข้าทำการตรวจสอบ สำหรับอุโบสถแห่งนี้ มีไว้สำหรับบรรพชาอุปสมบท สร้างแล้วเสร็จเมื่อปี พ.ศ.2516 ด้านในประดิษฐาน “หลวงพ่อหน้าทอง” ที่ย้ายมาจากวัดหน้าทองวัดเก่า ก่อนที่จะเปลี่ยนชื่อเป็นวัดศรีรัตนาราม(วัดจูงนาง)ในปัจจุบัน คาดว่าสาเหตุเพลิงไหม้ น่าจะเกิดจากเทียนพรรษาที่จุดทิ้งไว้ด้านใน

ขณะที่ พระครูสังฆรักษ์ บุญเลี่ยม โกวิโท รองเจ้าอาวาสวัดศรีรัตนาราม(จูงนาง) เปิดเผยว่า ปกติ 16.30 น.พระภิกษุสงฆ์จะต้องมาทำวัดเย็นกันที่นี่ทุกวัน แต่วันนี้ติดงานฌาปนกิจเลยไม่ได้มา คาดว่าเมื่อวานที่ทำวัตรกัน อาจจะดับเทียนไม่สนิทหรือไส้เทียนอาจจะติดขึ้นมา คาดว่าสาเหตุเกิดจากเทียนพรรษา ส่วนเรื่องความเสียหาย พบว่ามีโต๊ะหมู่บูชาหน้าพระประธาน อาสนะ พรม และและแท่นไม้นั่งสวดมนต์ถูกไฟไหม้ได้รับความเสียหาย ส่วนองค์พระประธานไม่ได้รับความเสียหายจากไฟไหม้ แต่มีควันที่ทำให้องค์พระประธานหมองลงเล็กน้อย จากนี้ก็จะเร่งทำความสะอาด ซ่อมแซมด้านในให้กลับมาเหมือนเดิม

สำหรับวัดจูงนาง หรือวัดศรีรัตนารามแห่งนี้ มีคติชนพื้นบ้านเล่าขานสืบต่อกันมายาวนานว่า วัดแห่งนี้ชื่อว่า “วัดหน้าทอง” (มีหน้าบันอุโบสถทำด้วย ทองคำ) โดยมีเศรษฐี ท่านหนึ่งในชุมชนแห่งนี้ มีลูกสาวสาวงาม มีกุศลศรัทธาสร้างถวาย ในภายหลังได้มี “พระราชา” องค์หนึ่ง ได้เกิดมาชอบและขอลูกสาวของเศรษฐี แต่สาวไม่ยินยอมพร้อมใจที่จะแต่งงานด้วย จึงให้ทหารลากจูงนางมาลงเรือเพื่อกลับเมือง แต่ฝ่ายหญิงกลั่นใจจนขาดใจตาย ฝ่ายพระราชา จึงได้สร้างที่เผาศพนางด้วยความเสียดายและเสียใจยิ่ง จึงโปรดให้สร้าง “วัดจูงนาง” เป็นอนุสรณ์ ซึ่ง “วัดหน้าทอง” ก็อยู่ติดกันกับ “วัดจูงนาง”

ในภายหลัง หลวงพ่อไซ่ ธมฺมกาโม (พระครูศรีรัตนาภรณ์ พระเกจิอาจารย์ดังขมังเวทย์เมืองพิษณุโลก) ได้มาบูรณะปฏิสังขรณ์ วัดจูงนาง ที่รกร้างมายาวนาน จากภัยสงคราม นับแต่ สมัยกรุงศรีอยุธยา จนถึง ศึกอะแซหวุ่นกี้ ตีเมืองพิษณุโลกใน ปี พ.ศ. 2318 -2319 แล้วจึงสร้างอุโบสถหลังใหม่ของวัดจูงนาง ขึ้นในราวปี พ.ศ.2513 จึงได้ย้ายพระประธาน หลวงพ่อหน้าทอง จากซากโบสถเก่า วัดหน้าทอง ในประดิษฐาน ในอุโบสถใหม่ วัดจูงนาง เรียกกันว่า หลวงพ่อหน้าทอง มาจนทุกวันนี้.