รถเอสยูวีรุ่นนี้เมื่อแรกเห็น อาจจะไม่รู้สึกว่ามันใหญ่ หากจะเทียบกับรถเครื่องสันดาปในเลเวล S ซึ่งเป็นเกรดสูงของพวกเขา อย่าง GLS แถมดูๆไปแล้วมิติตัวถังน่าจะพอๆกับรถรุ่น GLE เสียด้วยซ้ำ แต่เหตุใดเมอร์เซเดส- เบนซ์ ถึงกำหนดให้รถรุ่นนี้อยู่ในพิกัด S ซึ่งเป็นรุ่นท็อปของพวกเขากันล่ะ?

เหตุผลก็คือ มิติของฐานล้อ! รถรุ่น EQS SUV นี้มีฐานล้อยาวถึง 3,210 มม.! แต่กลับมีตัวถังโดยรวมยาวเพียง 5,125 มม. ในขณะที่เอสยูวีรุ่นท็อปคันมหึมาของกลุ่มเครื่องสันดาปฯอย่าง GLS นั้นมีฐานล้อสั้นกว่า คือ 3,135 มม. แต่กลับมีตัวถังยาวกว่าคือ 5,207 มม. เลยทำให้ภายในห้องโดยสารของ EQS พลังไฟฟ้านั้นใหญ่โตโอ่โถงเท่าๆกับรุ่น GLS แต่มิติภายนอกเล็กกว่า เพราะใช้มอเตอร์ไฟฟ้าที่มีขนาดกระทัดรัดกว่าเครื่องยนต์สันดาป แถมการลดเหลี่ยมมุมให้ลู่ลมก็ทำให้รถดูเล็กลงด้วยเช่นกัน

ส่วนใครที่กังวลว่ารถที่ฐานล้อยาวขนาดนี้จะขับในพื้นที่แคบๆได้ลำบาก ก็ต้องบอกว่าไม่จริงเลย เพราะรถ EQS นี้มาพร้อมกับระบบเลี้ยวล้อหลัง ซึ่งสามารถเลี้ยวได้ด้วยมุม 4.5 องศา ช่วยให้การขับในตึกจอดรถดูง่ายขึ้นมาก แต่ถ้าใครต้องการจะปลดล็อคระบบนี้ให้สามารถเลี้ยวได้มากถึง 10 องศา อันเป็นสเปคมาตรฐานของ EQS ที่ขายในประเทศญี่ปุ่น (ค่อนข้างจำเป็นในกรณีที่มุมเลี้ยวที่บ้านแคบจัด) ก็ต้องจ่ายค่าสมาชิกรายปีให้กับทางบริษัท เป็นเงินปีละ 20,000 บาท ก็จะเปิดระบบให้ใช้ได้ตามต้องการ (โชคดีนะ เราไม่ต้องการ 555)

สาเหตุของฐานล้อที่ยาวขนาดนี้ก็คือ รถรุ่น EQS นี้มาพร้อมแบตเตอรี่ไซส์ XXL ที่มีความจุมากถึง 118 กิโลวัตต์ชั่วโมง พอเพียงกับระยะทางวิ่งไกลถึง 658 กิโลเมตรตามมาตรฐาน WLTP และด้วยฐานล้อที่ยาวขนาดนี้ ทำให้มันมีความพิเศษอีกอย่างที่หาไม่ได้ในรถไฟฟ้าแบบเอสยูวี รุ่นอื่นๆที่ขายในบ้านเราก็คือ มันรองรับผู้โดยสารถึง 3 แถว 7 ที่นั่ง! โดยที่นั่งแถวสองนั้นสามารถปรับเดินหน้าถอยหลังได้ ทำให้หากผู้โดยสารแถวหลังสูงไม่เกิน 170 ซม. น่าจะนั่งได้สบาย (แต่สำหรับอ้วนซ่าที่หนักทะลุร้อย แถมสูง 185 ซม. ไม่น่าจะเข้าไปนั่งได้ขอรับ!)

ด้านสเปคมอเตอร์ไฟฟ้านั้นก็พอเพียงกับการใช้งาน เพราะแรงบิดจากมอเตอร์คู่ หน้า+หลัง นั้นรวมกันได้มากถึง 800 นิวตัน-เมตร กับแรงม้าระดับ 360 แรงม้า นุ่มนวลแต่ทรงพลัง แถมใครที่คิดว่ารถไฟฟ้าจะเงียบๆน่าเบื่อ ก็ต้องบอกว่าทางเยอรมันเค้าคิดเสียงสังเคราะห์ที่คำรามเบาๆแบบมีรสนิยมใส่มาเรียบร้อย ไม่ต้องกังวลว่าขับแล้วจะง่วง ด้านความเร็วสูงสุดถูกจำกัดไว้ที่ 210 กิโลเมตร/ชั่วโมง

อีกปัญหาที่คนมักจะพูดกันคือ รถไฟฟ้ามักจะมีน้ำหนัก หนักมาก ทำให้การทรงตัวไม่ค่อยดี เรื่องนี้บอกเลยว่าหายห่วงเพราะรถคันนี้มาพร้อมช่วงล่างถุงลม AIRMATIC ทรงตัวได้นุ่มนวลสวยงาม แม้จะใช้ล้อแม็กขนาดใหญ่ถึง 22 นิ้ว ก็ยังขับได้อย่างเพลิดเพลิน และมีสุนทรียะ

นอกจากนั้นช่วงล่าง AIRMATIC ยังช่วยทำให้รถรุ่นนี้สามารถเผชิญกับเส้นทางแบบออฟโรดได้อย่างมั่นใจ เพราะสามารถยกตัวถังรถให้สูงเพิ่มได้อีก 25 มม. และเพื่อความมั่นใจในการลุย นอกจากนั้นยังมาพร้อมกับระบบฝากระโปรงโปร่งใส (Transparent Bonnet) อัจฉริยะที่ทำงานร่วมกับกล้อง 360 องศา ช่วยให้เราสามารถมองเห็นบริเวณจุดอับด้านหน้าของรถ ในขณะที่ขับในพื้นที่ถุรกันดารได้อย่างมั่นใจ

แน่นอนว่า คนที่ตัดสินใจจะเล่นรุ่นใหญ่ตระกูล S แล้วก็ต้องคาดหวังด้านความหรูหรานั่งสบาย ซึ่งก็ต้องบอกว่าไม่ต้องห่วง เพราะนอกจากจะมีเบาะนั่งนุ่มสบาย แถมผู้โดยสารแถวสองก็ยังปรับเอนได้ (เว้นไว้ก็แต่แถวที่สามที่ออกจากอัตคัดบ้าง) มันยังมาพร้อม เบาะนวด ประคบร้อนเย็น 6 โปรแกรม สำหรับผู้โดยสารตอนหน้า แถมยังมาพร้อมกับระบบปรับอากาศแยกอิสระถึง 5 โซน! พร้อมหน้าจอความบันเทิงสำหรับทุกที่นั่ง (เว้นแค่ที่นั่งแถวสาม) นอกจากนั้นยังมาพร้อมระบบปัญญาประดิษฐ์ ที่พยายามที่จะเรียนรู้พฤติกรรมการใช้รถของเรา อาทิ หากเราต้องเปิดหน้าต่างเพื่อรับบัตรจอดรถตรงลานจอดรถที่เราไปประจำ เวลาที่เราขับรถไปถึงจุดนั้น รถจะเปิดหน้าต่างให้เราเองโดยอัตโนมัติ!

นอกจากนั้นเมอร์เซเดส- เบนซ์ ยังศึกษาพฤติกรรมของผู้บริโภคมาเป็นอย่างดี และเข้าใจดีว่า แม้การใช้ระบบทัชสกรีน (Touch Screen) คือวิถีแห่งรถยุคใหม่ พวกเขาจึงจัดมาให้แบบจุกๆ คือหน้าจอแบบ Hyperscreen ยาวซ้ายจรดขวา สำหรับผู้โดยสารตอนหน้า แต่หัวใจของการออกแบบคือ ความสะดวก และปลอดภัย ดังนั้นพวกเขาจึงออกแบบให้การใช้งานของระบบทัชสกรีนของพวกเขาให้เข้าใจได้ง่าย เรียนรู้ได้เร็ว หรือที่เรียกว่า Zero Layer Concept ซึ่งอ้วนซ่าได้ลองใช้แล้ว บอกเลยว่าเฉียบ!

และเพื่อให้รถรุ่นนี้ได้รับสุนทรียภาพในการเดินทางอย่างสมบูรณ์แบบ พวกเขาจึงใส่ใจเรื่อง รูป รส กลิ่น เสียง และสัมผัส แน่นอนจะเว้นไว้ก็แค่เรื่องรสชาติ เพราะคงไม่มีใครชิมรถยนต์ แต่เรื่องกลิ่นนี่พวกเขาติดตั้งระบบน้ำหอม ถึง 4 รูปแบบที่พร้อมจะกระตุ้น หรือผ่อนคลาย ง่ายเพียงปลายนิ้วสัมผัส ส่วนเรื่องเสียงนี้ก็นับว่าเฉียบขาดด้วยเครื่องเสียงที่ทำร่วมกับแบรนด์เยอรมันระดับไฮเอนด์อย่าง เบอร์เมสเตอร์ (Burmester) ที่มาพร้อมลำโพงมากถึง 15 ตัว รองรับระบบเสียงรอบทิศทาง Dolby Atmos  ใครมองหารถครอบครัว ระดับท็อป เดินทางไกลพร้อมๆกันสบายหายห่วง ห้ามพลาด!.