จากกรณีการจับกุม นายสุรศักดิ์ (สงวนนามสกุล) หรือ “เอส” อายุ 46 ปี และนายสุรชัย (สงวนนามสกุล) หรือ “อาร์ท” อายุ 44 ปี 2 พี่น้องผู้ต้องหาในคดียาดองมรณะ ที่เป็นผู้นำสารเมทานอล มาผสมเป็นเหล้าขาว ก่อนส่งไปขายให้กับ น.ส.ภัสส์รศา (สงวนนามสกุล) หรือ “เจ๊ปู” อายุ 49 ปี นำไปผสมเป็นยาดอง ก่อนส่งกระจายไปยัง 18 ซุ้มยาดอง ย่านคลองสามวา, มีนบุรี และหนองจอก ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตและผู้ป่วยจำนวนมาก

เกี่ยวกับเรื่องนี้ เมื่อวันที่ 16 ก.ย. ที่ สน.มีนบุรี พล.ต.ต.นพศิลป์ พูลสวัสดิ์ รอง ผบช.น., พล.ต.ต.เกียรติกุล สนธิเณร ผบก.น.3, พ.ต.อ.อิสระ ณ พัทลุง รอง ผบก.น.3 และ พ.ต.อ.กฤษ ก้อมน้อย ผกก.สน.มีนบุรี ได้ร่วมกันแถลงกรณีดังกล่าว โดย พล.ต.ต.นพศิลป์ กล่าวว่า หลังจากการจับกุม นายเอส กับนายอาร์ท ทั้งสองให้รับว่า ครั้งสุดท้ายได้ทำการสั่งซื้อเอทานอลมาจากร้านค้าแห่งหนึ่งในพื้นที่ อ.เมือง จ.สมุทรปราการ เพื่อมาทำเหล้าขาว ก่อนส่งให้ “เจ๊ปู” นำไปผสมทำยาดอง ส่งซุ้มยาดองในเครือข่ายเมื่อวันที่ 20-22 ส.ค. เป็นเหตุให้ลูกค้าที่ซื้อไปดื่ม มีอาการเจ็บป่วยและถึงแก่ชีวิต ซึ่งเมื่อวันที่ 23 ส.ค. ทางเจ๊ปู จึงโทรฯ มาแจ้งว่า เหล้าที่ทำและนำไปส่งกันนั้น มีคนกินแล้วเจ็บและตาย จึงทราบว่า แอลกอฮอล์ที่นำไปทำเหล้านั้นไม่ใช่ “เอทานอล” จึงได้นำแอลกอฮอล์ ที่เหลือจากการซื้อกับร้านดังกล่าว ไปเททิ้งในห้องน้ำในบ้าน แล้วได้นำแกลลอนที่บรรจุแอลกอฮอล์ พร้อมของเก่าอื่น ๆ ในบ้าน ให้หลานชายนำไปขายที่ร้านของเก่า ที่อยู่ใกล้กับบ้านพัก

ต่อมาในวันที่ 31 ส.ค. เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ไปทำการตรวจสอบร้านค้าที่ขายแอลกอฮอล์ให้ พบว่า น.ส.อารีย์ (สงวนนามสกุล) หรือ อีฟ อายุ 32 ปี เจ้าของร้านให้การว่า นายอาร์ท และ นายเอส ได้มาซื้อ “เอทานอล” จากร้านจริง เมื่อวันที่ 11, 16 และ 19 ส.ค. โดยได้นำ “เอทานอล” ที่สั่งซื้อมาจาก บจก.แห่งหนึ่งใน จ.ชัยนาท มาเมื่อช่วงโควิด 2563 แบบบรรจุในถังขนาด 200 ลิตร ที่ยังขายไม่หมด และมีหลักฐานการซื้อขายเรียบร้อย จึงนำมาแบ่งบรรจุใส่ถังแกลลอนสีน้ำเงินฝาแดงขนาด 20 ลิตร ขายให้กับบุคคลทั้ง 2 จากนั้นได้มอบถังบรรจุ และตัวอย่าง “เอทานอล” ที่ทางบริษัทผู้ผลิตส่งมาให้กับทางร้านไว้เป็นตัวอย่าง มอบให้เจ้าพนักงานตำรวจไปทำการตรวจพิสูจน์ ซึ่งการให้การในวันดังกล่าว น.ส.อารีย์ หรือ อีฟ ให้การเท็จทั้งหมด

พล.ต.ต.นพศิลป์ กล่าวต่อว่า ต่อมาเมื่อวันที่ 2 ก.ย. เจ้าหน้าที่ตำรวจนำกำลัง พร้อมหมายค้นของศาลจังหวัดสมุทรปราการ ไปขอทำการตรวจค้น พร้อมตรวจยึดสารเคมีจากภายในร้านไปทำการตรวจพิสูจน์ และเชิญพนักงานในร้าน มาทำการสอบสวนที่ สน.มีนบุรี ทาง น.ส.อารีย์ ยืนยันคำให้การเดิม และทางร้านไม่ได้จำหน่ายเมทานอล

แต่จากการสืบสวนและตรวจสอบกล้องวงจรปิดพบว่า เมื่อมีการสั่งซื้อแอลกอฮอล์จากสองพี่น้อง ทาง น.ส.อารีย์ หรือ อีฟ จะมอบหมายให้พนักงานขับรถยนต์กระบะตู้ทึบ ไปรับของมาจาก หจก.แห่งหนึ่ง ย่านสุขสวัสดิ์ อ.พระสมุทรเจดีย์ จ.สมุทรปราการ แล้วนำมาแบ่งบรรจุใส่แกลลอนสีน้ำเงินฝาแดง และแกลลอนสีขาวฝาเขียว ที่บริเวณหน้าตึกแถวข้างร้านขายของชำที่ติดกับร้าน แล้วไปตั้งไว้ที่หน้าร้าน จากนั้น นายเอส และนายอาร์ท ก็จะขับรถมารับสินค้าจากร้านไป

โดยวันที่ 12 ก.ย. ที่ผ่านมา ตำรวจนำกำลังพร้อมหมายค้นของศาลจังหวัดสมุทรปราการ เข้าตรวจค้น หจก. ภายในซอยสุขสวัสดิ์ พบ นายกิตติศักดิ์ (สงวนนามสกุล) เจ้าของ ให้การว่าได้ขาย “เมทานอล” ให้กับทางร้านของ “น.ส.อารีย์” ไปเมื่อวันที่ 16 ส.ค. จำนวน 9 ถัง (ถังละ 200 ลิตร) โดยเป็นผู้จัดส่งให้ที่ร้าน และวันที่ 17, 19 ส.ค. ยังได้สั่งซื้ออีกวันละ 2 ถัง (ถังละ 200 ลิตร ในราคา 2,800 บาท/ถัง) โดยทางร้านส่งพนักงานมารับของเอง และทาง หจก. ไม่มีการจำหน่าย “เอทานอล” แต่อย่างใด

จากพยานหลักฐานดังกล่าว เป็นที่เชื่อได้ว่า น.ส.อารีย์ ได้ซื้อ “เมทานอล” มาจริง ก่อนนำมาแบ่งบรรจุขายให้กับ นายเอส กับ นายอาร์ท โดยแจ้งว่าเป็น “เอทานอล” ขายให้ในราคาแกลลอนละ 1,000-1,500 บาท (บรรจุ 20 ลิตร) ไปเมื่อวันที่ 17, 18 และ 19 ส.ค. จากนั้นจึงนำมาผลิตเป็นสุราขาว นำส่งให้เจ๊ปูนำไปทำยาดอง ส่งให้กับซุ้มยาดองต่าง ๆ จำนวนกว่า 18 ซุ้ม ทำให้มีคนเจ็บ-ตาย จึงคาดว่าสาเหตุที่ น.ส.อารีย์ นำ “เมทานอล” มาขายแทน “เอทานอล” เป็นเพราะ “เมทานอล” มีราคาถูกกว่าหลายเท่า โดยยอดผู้ป่วยและตายจากกรณีดังกล่าว ณ วันที่ 15 ก.ย. คือ ผู้ป่วยทั้งหมด 44 ราย รักษาหายแล้ว 31 ราย อาการสาหัส 3 ราย เสียชีวิต จำนวน 10 ราย

กระทั่งวันที่ 16 ก.ย. พนักงานสอบสวนได้ยื่นคำร้องต่อศาลอาญามีนบุรี เพื่อออกหมายจับ น.ส.อารีย์ หรือ อีฟ ในข้อหา ร่วมกันพยามฆ่าผู้อื่น, ร่วมกันฆ่าผู้อื่นฯ และร่วมกันปลอมปนอาหารฯ ให้คนอื่นเสพหรือใช้ เป็นเหตุให้ได้รับอันตรายสาหัส และถึงแก่ความตาย ทางศาลอาญามีนบุรี ได้อนุมัติหมายจับที่ จ.1257/2567 ลงวันที่ 16 ก.ย. 2567 เรียบร้อยแล้ว อยู่ในระหว่างการติดตามจับกุมตัวมาดำเนินคดีตามกฎหมาย.