เมื่อวันที่ 14 ก.ย. นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรี และรมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) กล่าวภายหลังเสร็จสิ้นการแถลงนโยบายรัฐบาลต่อที่ประชุมรัฐสภา ว่า นโยบายรัฐบาลที่ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้แถลงต่อที่ประชุมรัฐสภาไปนั้น มีหลายเรื่องที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ต้องเข้าไปมีส่วนขับเคลื่อน โดยเฉพาะอย่างยิ่งนโยบายเร่งด่วนที่เกี่ยวกับการเร่งแก้ไขปัญหาอาชญากรรมออนไลน์ การเพิ่มศักยภาพและประสิทธิภาพในการป้องกันและปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ รวมถึงอาชญากรรมออนไลน์ในรูปแบบใหม่ๆ กระทรวงดีอี โดยความร่วมมือกับหลายหน่วยงานก็ได้ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่องอยู่แล้ว โดย 1 ปีที่ผ่านมา ผลงานการปฏิบัติงานของการจัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการต่อต้านอาชญากรรมออนไลน์ (Anti-Online-Scam Operation Center : AOC) โทร. 1441 หรือศูนย์ AOC 1441 ตั้งแต่วันที่ 1 พ.ย. 2566 พบว่ามีเรื่องร้องเรียนลดลงจากเดิม รวมถึงมูลค่าความเสียหายลดลงด้วย นอกจากนี้ ก็ยังได้ดำเนินมาตรการ “ระเบิดสะพานโจร” สุ่มตรวจสอบเสาสัญญาณของผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ และผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตในพื้นที่ชายแดน ที่อาจมีความเสี่ยงให้ขบวนการอาชญากรรมออนไลน์ หรือแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ที่มีฐานอยู่บริเวณชายแดน ตลอดจนการประสานความร่วมมือระหว่างประเทศ โดยมีการลงนามความร่วมมือระหว่างกระทรวงดีอีไทย และกระทรวงการไปรษณีย์ และโทรคมนาคมแห่งราชอาณาจักรกัมพูชา ในการปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์และไฮบริดสแกม

นายประเสริฐ กล่าวว่า ที่ผ่านมา กระทรวงดีอี ได้เดินหน้าปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ และอาชญากรรมออนไลน์มาอย่างต่อเนื่อง แต่ก็ทราบดีว่าโจรออนไลน์เหล่านี้ ยังสร้างความเดือดร้อนให้ประชาชนไม่หยุด นายกฯ จึงดำริให้เรื่องนี้เป็นนโยบายเร่งด่วน และในนโยบายของรัฐบาลยังมีอีกหลายเรื่องที่กระทรวงดีอี ต้องร่วมขับเคลื่อนทั้งในแง่เศรษฐกิจและสังคม ไม่ว่าจะเป็นการขับเคลื่อนเศรษฐกิจดิจิทัล เพื่อสร้างโอกาสและรายได้ให้แก่คนไทย รวมทั้งการพัฒนากำลังคนดิจิทัล สร้างภูมิทัศน์ประเทศไทยให้มีความพร้อมด้วยดิจิทัลในทุกมิติ เพื่อดึงดูดนักลงทุน และชาวต่างชาติ ที่ต้องการเข้ามาอาศัย แต่ขณะเดียวกัน ต้องช่วยเหลือผู้ประกอบการเอสเอ็มอีของไทย ที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมในการแข่งขันของแพลตฟอร์มต่างชาติด้วย