เมื่อวันที่ 13 ก.ย.นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ได้โพสต์ข้อความระบุว่า

[ ถ้าปกป้องประชาชนจากระบบการชำระเงินไม่ได้ ปล่อยให้คนไทยตายจากแก๊งคอลเซ็นเตอร์นับศพไม่ถ้วน ผู้ว่า ธปท. ควรพิจารณาตัวเองได้แล้ว ]

ปกติแล้วเวลาที่คนพูดถึงแนวทางการแก้ปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์ มักจะ Focus ไปที่ตำรวจ และกระทรวงดีอี แต่หน่วยงานที่เป็นหัวใจสำคัญในการแก้ไขปัญหานี้ และปัจจุบันยังคงนอนคดไม่รู้ นอนคู้ไม่เห็น ใครมีข้อเสนอแนะอะไรก็ทำเป็นหูทวนลม ต้วมเตี้ยมศึกษานั่นโน่นนี่ ในบางกรณีก็อ้างเรื่อง Financial Literacy โทษปัญหาไปที่ประชาชน นั่นก็คือ ธนาคารแห่งประเทศไทย ที่ผู้ว่าการ ที่ชื่อว่า

“เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ”

3 เสาหลักของ ธปท. ที่ผู้ว่า ธปท. นั่งเป็นประธานอยู่ ประกอบไปด้วย เสาที่ 1 คือ คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) เสาที่ 2 คณะกรรมการนโยบายสถาบันการเงิน (กนส.) และเสาที่ 3 คือ คณะกรรมการระบบการชำระเงิน (กรช.)

ปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ที่คอยโทรศัพท์หลอกเงินประชาชนคนไทย โดยเฉพาะผู้สูงอายุ ทั้งหมดอาศัยช่องทางของระบบการชำระเงิน ของธนาคารพาณิชย์ ทั้งสิ้น ผู้ว่า ธปท. น่าจะรู้อยู่แล้วว่า ความเสียหายของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ นั้นมีมูลค่ามากกว่าปีละ 30,000 ล้านบาท (บางรายงานระบุถึง 450,000 ล้านบาท วันละ 700 คดี ได้เงินคืนเพียงแค่ 2%) และน่าจะรู้อยู่แล้วว่า เหยื่อส่วนมากเป็นผู้สูงอายุ ที่ถูกหลอกเงินที่พวกเขาเก็บหอมรอมริบมาทั้งชีวิต เพื่อจะได้ใช้ดูแลตัวเองยามบั้นปลาย

แต่ผู้ว่า ธปท. อาจจะไม่รู้ว่า ไม่ใช่แค่เงินที่สูญเสียไป แต่มีประชาชนคนไทยกี่รายแล้ว ที่ต้องฆ่าตัวตายหลังจากที่ถูกแก๊งคอลเซ็นเตอร์หลอกเงินจนสิ้นเนื้อประดาตัว

แก๊งคอลเซ็นเตอร์ ใช้ระบบการชำระเงินของธนาคารพาณิชย์ เป็นเครื่องมือในการหลอกเงินประชาชน ในฐานะของความเป็นผู้ว่า ธปท. ที่กำกับทั้งสถาบันการเงิน และระบบการชำระเงิน จะไม่ทำอะไรให้ดีกว่าที่เป็นอยู่นี้เลยหรือครับ

ทั้งๆ ที่ศาลฎีกาก็มีคำพิพากษาที่ 6233/2564 (แม้จะเป็นคดีบัตรเครดิต แต่สามารถนำเอาพฤติการณ์มาเทรยบเคียงได้) ออกมาแล้วว่า ธนาคารพาณิชย์ต้องมีส่วนรับผิดชอบ ในการชดใช้ค่าเสียหายให้กับเหยื่อแก๊งคอลเซ็นเตอร์ด้วย ไม่ใช่ลอยแพให้เหยื่อต้องรับกรรมคนเดียว

ผมถามผู้ว่า ธปท. ว่า เหตุผลสำคัญสูงสุดที่ประชาชนเขาเอาเงินไปฝากธนาคาร คือ อะไร ปัจจุบันเขาไมไ่ด้หวังดอกเบี้ยกันแล้ว แต่เขาหวังว่าธนาคารจะดูแลปกป้องเงินของเขา และถ้าเงินของเขาหายภายใต้การดูแลของธนาคาร ธนาคารจะต้องพร้อมรับผิดชอบ นี่คือวัตถุประสงค์สำคัญ ของการมีองค์กรทางเศรษฐกิจที่เรียกกันว่า “ธนาคาร” ท่านผู้ว่า ธปท. ไม่ทราบจริงๆ หรือครับ

ผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่า ท่านผู้ว่า ธปท. จะต้องไม่เกรงใจนายแบ๊งค์ ต้องกล้าที่จะออกประกาศที่กำหนดความรับผิดชอบของธนาคารพาณิชย์ ในกรณีที่เงินในบัญชีของลูกค้า ถูกแก๊งคอลเซ็นเตอร์หลอกดูดเอาไป โดยอ้างอิงถึงคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6233/2564 และคำพิพากษาในคดีแพ่งหมายเลขดำที่ ผบ 468/2566 (แม้ว่าจะเป็นกรณีของบัตรเครดิต แต่สามารถนำเอาพฤติการณ์มาพิจารณาเทียบเคียงได้) ผมคิดว่าในกรณีที่ลูกค้าธนาคาร ถูกการควบคุมทางไกล หรือถูก Application ดูดเงินออกจากบัญชี ธนาคารพาณิชย์ ในฐานะที่ดูแลปกป้องเงินในบัญชีของลูกค้า ต้องรับผิดชอบกับความเสียหายเต็มจำนวน เพราะธนาคารไม่ควรปล่อยให้เหล่า Scammer มาเจาะระบบความมั่นคงของธนาคารได้

ผมยืนยันว่า ตราบใดที่ธนาคารไม่ต้องรับผิดชอบกับความเสียหายอะไรเลย ธนาคารก็จะไม่มีความกระตือรือร้นในการที่จะพัฒนาความมั่นคงปลอดภัยของระบบ Mobile Banking ของตนเอง

และผมก็หวังเป็นอย่างยิ่งว่า ผู้ว่า ธปท. จะเร่งประสานงานกับ National ITMX ที่เป็นบริษัทผู้ให้บริการการโอน และการชำระเงินผ่านระบบ Prompt Pay ให้ปรับปรุงระบบการโอนชำระเงิน เพื่อรับมือกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ เช่น การหน่วงการโอนเงิน (Slow Payment) สำหรับการโอนเงินในยอดที่มูลค่าสูง ซึ่งอาจจะมีการหน่วงเวลา 5-20 นาที ตามมูลค่าของยอดโอน เพราะเหยื่อจำนวนมาก มักจะรู้ตัวแทบจะทันทีหลังจากที่กดโอนเงินออกไป ถ้ามีระบบการหน่วงเงินเป็นระยะเวลาหนึ่ง ก็จะสามารถช่วยเหลือเหยื่อได้เป็นจำนวนมาก ไม่ให้ต้องสิ้นเนื้อประดาตัว และระยะเวลา 5-20 นาที ก็ไม่ได้เป็นระยะเวลาที่ส่งผลต่อการทำธุรกรรมการค้าการขายมากนัก

ผมเชื่อว่าท่านผู้ว่า ธปท. ก็ต้องเคยรับสายแก๊งคอลเซ็นเตอร์ พ่อแม่และคนในครอบครัวของท่าน ก็ต้องเคยรับสายแก๊งคอลเซ็นเตอร์ไม่ต่างจากประชาชนคนอื่น เพียงแค่ว่าท่านอาจจะไม่ห่วงพ่อแม่ และคนรอบตัวของท่านมากนัก เนื่องจากท่านมี Financial Literacy ในระดับสูงจนสามารถที่จะปกป้องคนในครอบครัวท่านได้

แต่ในฐานะของความเป็น “ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย” ท่านไม่ได้มีหน้าที่แค่ปกป้องญาติ หรือคนในครอบครัวของท่าน แต่ท่านมีหน้าที่ที่จะต้องปกป้องเงินในบัญชีธนาคารของคนไทยทั้งประเทศ ให้รอดพ้นจากแก๊งคอลเซ็นเตอร์ และด้วยอำนาจหน้าที่ของท่าน ในฐานะที่เป็นประธาน กนส. และ ประธาน กรช. ท่านทำได้

ถ้าท่านยังไม่ทำ ยึกยักที่่จะทำ อ้างโน่นอ้างนี่เพื่อซื้อเวลาที่จะทำ หรือใส่เกียร์ว่างไปเรื่อยๆ จนถึงวันที่ 30 ก.ย. 2568 ซึ่งเป็นวันที่ท่านพ้นจากวาระการเป็นผู้ว่า ธปท. แล้วก็ปล่อยให้คนไทยต้องสิ้นเนื้อประดาตัว หมดอาลัยตายอยากกับชีวิต ครอบครัวสูญสิ้นแตกร้าว หลายคนต้องตัดสินใจฆ่าตัวตายศพแล้วศพเล่า

ผมอยากให้ท่านผู้ว่า ธปท. ส่องกระจก แล้วถามตัวท่านเองว่า “คนแบบนี้ ยังสมควรเป็นผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย อยู่หรือไม่ แล้วเมื่อตายไป จะกล้าไปมองหน้าอาจารย์ป๋วย หรือเปล่า และจะไปอธิบายกับทุกดวงวิญญาณ ที่ต้องจบชีวิตจากการที่ถูกแก๊งคอลเซ็นเตอร์ อย่างไร”

หวังว่าท่านผู้ว่า ธปท. จะรับข้อเสนอแนะของผม ไว้พิจารณา“