Apple ประกาศว่า Apple Intelligence ซึ่งเป็นระบบอัจฉริยะส่วนบุคคลที่รวมเอาพลังของเจเนอเรทีฟโมเดลเข้ากับบริบทเฉพาะตัวของผู้ใช้เพื่อนำเสนอสิ่งดีๆ ที่มีประโยชน์และตรงใจ จะเริ่มเปิดให้ใช้งานในเดือนหน้าพร้อมกับ iOS 18.1, iPadOS 18.1 และ macOS Sequoia 15.1 ส่วนฟีเจอร์อื่นๆ จะทยอยเปิดให้ใช้งานในเดือนต่อ ๆ ไป

โดยในช่วงแรก Apple Intelligence จะเปิดให้ใช้งานในภาษาอังกฤษแบบ U.S. English และเร็วๆ นี้ จะเพิ่มภาษาอังกฤษ Australia, Canada, New Zealand, South Africa และ U.K. ในราวเดือนธันวาคมที่จะถึงนี้ ส่วนฟีเจอร์อื่น ๆ รวมถึงรองรับภาษาอื่นๆ อาทิ ภาษาอังกฤษแบบ Singapore, ภาษาฝรั่งเศส, ภาษาญี่ปุ่น และ ภาษาสเปน จะทยอยรองรับเพิ่มเติมภายในปีหน้า

สำหรับ Apple Intelligence ได้รับการผสานรวมอยู่ในทุกส่วนของ iOS 18, iPadOS 18 และ macOS Sequoia โดยอาศัยขุมพลังของ Apple Silicon เพื่อทำความเข้าใจและสร้างภาษาและภาพ ทำสิ่งต่างๆ ข้ามไปมาระหว่างแอป และดึงบริบทเฉพาะตัวของผู้ใช้ออกมา เพื่อทำให้งานทั่วไปในชีวิตประจำวันกลายเป็นเรื่องง่ายและรวดเร็วยิ่งขึ้น

โดยยังคงปกป้องความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัยของผู้ใช้ โมเดลหลายตัวที่ขับเคลื่อน Apple Intelligence ต่างก็ทำงานบนอุปกรณ์ทั้งหมด และมี Private Cloud Compute ที่ช่วยให้สามารถปรับและขยายขีดความสามารถด้านการคำนวณ ระหว่างการประมวลผลบนอุปกรณ์ กับโมเดลขนาดใหญ่ขึ้นบนเซิร์ฟเวอร์ ซึ่งทำงานบนเซิร์ฟเวอร์ Apple Silicon โดยเฉพาะ

และในเดือนหน้า ผู้ใช้จะสามารถใช้งานคุณสมบัติชุดแรกของ Apple Intelligence ซึ่งจะมอบประสบการณ์ที่เพลิดเพลิน เป็นธรรมชาติ ใช้ง่าย และออกแบบมาเป็นพิเศษเพื่อช่วยผู้ใช้ทำสิ่งต่างๆ ที่สำคัญสำหรับแต่ละคน

เริ่มจาก Writing Tools ที่ให้ผู้ใช้เขียนข้อความได้อย่างสละสลวย โดยการปรับการเขียน พิสูจน์อักษร และสรุปข้อความได้เกือบทุกที่ที่เขียน ทั้งในแอปเมล, โน้ต, Pages และแอปของบริษัทอื่น

ส่วนคุณสมบัติความทรงจำในแอปรูปภาพ ให้ผู้ใช้สร้างภาพยนตร์ที่อยากดู เพียงแค่พิมพ์คำอธิบาย และยังสามารถใช้ภาษาตามธรรมชาติ เพื่อค้นหารูปภาพที่ต้องการ ส่วนการค้นหาในวิดีโอ ก็ทรงพลังยิ่งขึ้น ด้วยความสามารถในการค้นหาช่วงเวลาที่ต้องการในคลิป นอกจากนี้ ยังมีเครื่องมือ Clean Up ที่สามารถตรวจหาและลบวัตถุรบกวนสวยตาในฉากหลังของภาพโดยไม่ส่งผลใดๆ ต่อตัวแบบในภาพ

นอกจากนี้ ผู้ใช้สามารถบันทึก ถอดข้อความ และสรุปเนื้อหาจากเสียงได้ในแอปโน้ตและโทรศัพท์ โดยเมื่อมีการเริ่มบันทึกเสียงในแอปโทรศัพท์ในขณะที่ผู้ใช้คุยโทรศัพท์ ผู้ที่อยู่ในสายจะได้รับการแจ้งเตือนโดยอัตโนมัติ และเมื่อวางสาย Apple Intelligence ก็จะสรุปเนื้อหาเพื่อช่วยทบทวนประเด็นสำคัญ

Apple Intelligence ช่วยผู้ใช้จัดลำดับความสำคัญและจดจ่ออยู่กับช่วงเวลานั้นโดยการสรุปการแจ้งเตือนจากแอปต่างๆ และมีโหมดโฟกัสใหม่อย่าง “ลดการรบกวน” ที่จะแสดงเฉพาะการแจ้งเตือนที่อาจจำเป็นต้องโต้ตอบในทันที รวมถึง “ข้อความที่มีความสำคัญ” ในแอปเมล ซึ่งเข้าใจเนื้อหาของอีเมลและจะดันข้อความที่สำคัญต่อเวลาขึ้นมาอยู่ด้านบน

โดยมีส่วนสรุปเนื้อหาที่จะแสดงข้อมูลสำคัญที่สุดของอีเมลแต่ละฉบับ จากทั้งอินบ็อกซ์ของผู้ใช้ แทนที่จะแสดงตัวอย่างเพียงแค่ไม่กี่บรรทัดแรก ในขณะที่คุณสมบัติการตอบกลับอัจฉริยะในแอปเมลจะแนะนำข้อความตอบกลับอย่างง่าย และตรวจหาคำถามในอีเมลเพื่อให้มั่นใจว่าตอบครบทุกคำถาม

ส่วน Siri มีความเป็นธรรมชาติ ยืดหยุ่น และผสานรวมเป็นหนึ่งเดียวกับประสบการณ์ทั้งระบบมากขึ้น และมาในดีไซน์ใหม่ที่จะส่องแสงเรืองๆ อย่างสวยงามบริเวณโดยรอบของขอบหน้าจอ iPhone, iPad หรือ CarPlay ในขณะที่บน Mac ผู้ใช้สามารถวาง Siri ไว้ตรงไหนก็ได้บนเดสก์ท็อป เพื่อให้เรียกใช้ได้ง่ายขณะทำงาน และผู้ใช้สามารถพิมพ์โต้ตอบกับ Siri ได้ทุกเมื่อบน iPhone, iPad และ Mac ทั้งยังสามารถสลับไปมาระหว่างเสียงและข้อความได้อย่างลื่นไหลขณะใช้งาน Siri เพื่อเพิ่มความรวดเร็วให้กับสิ่งที่ทำเป็นประจำทุกวัน

และด้วยความสามารถในการเข้าใจภาษาที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น Siri จึงตามทันถึงแม้ผู้ใช้จะพูดตะกุกตะกัก และสามารถรักษาบริบทของคำขอก่อนหน้าแล้วนำไปปรับใช้คำขอถัดไปได้ นอกจากนี้ Siri ยังมีความรอบรู้เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์มากขึ้น จึงสามารถตอบหลายพันคำถามเกี่ยวกับคุณสมบัติและการตั้งค่าของอุปกรณ์ Apple ได้ ผู้ใช้ก็สามารถเรียนรู้ทุกเรื่อง ตั้งแต่การบันทึกวิดีโอหน้าจอ จนถึงวิธีง่ายๆ ในการแชร์รหัสผ่าน Wi-Fi

สำหรับ Apple Intelligence ยังมีอีกหลายคุณสมบัติที่จะทยอยเปิดให้ใช้งานทั้งภายในปีนี้และในเดือนต่อๆ ไป อย่าง Image Playground ที่ให้ผู้ใช้สร้างรูปภาพสนุกๆ ได้อย่างรวดเร็ว หรือ Image Wand ที่จะทำให้โน้ตดูน่าสนใจยิ่งขึ้นโดยการเปลี่ยนภาพสเก็ตช์คร่าวๆ เป็นภาพที่สวยงาม และเมื่อผู้ใช้วงพื้นที่ว่างๆ Image Wand ก็จะสร้างภาพขึ้นมาโดยใช้บริบทจากพื้นที่รอบข้าง ส่วนอิโมจิก็ล้ำไปอีกระดับอย่างที่ไม่เคยทำได้มาก่อนด้วยความสามารถในการสร้าง Genmoji ในแบบที่ไม่ซ้ำใคร เพียงแค่พิมพ์คำอธิบาย หรือเลือกรูปภาพของเพื่อนหรือสมาชิกครอบครัว และ Siri ยังมีความสามารถมากยิ่งขึ้นด้วย เพราะสามารถดึงบริบทเฉพาะตัวของผู้ใช้ออกมาเพื่อนำเสนอสิ่งดีๆ ที่ชาญฉลาดและเหมาะสมกับแต่ละคน

อีกทั้งยังรับรู้สิ่งที่เกิดขึ้นบนหน้าจอ และทำสิ่งใหม่ๆ ได้หลายร้อยอย่างทั้งในและระหว่างแอปของ Apple และแอปอื่น ๆ ยิ่งไปกว่านั้น ผู้ใช้ยังมีตัวเลือกในการเข้าถึงความรู้ระดับโลกหลากหลายแขนงของ ChatGPT จากประสบการณ์การใช้งานภายใน iOS 18, iPadOS 18 และ macOS Sequoia ผู้ใช้จึงสามารถใช้ความเชี่ยวชาญของ ChatGPT รวมถึงความสามารถในการเข้าใจรูปภาพและเอกสารโดยไม่ต้องสลับไปมาระหว่างเครื่องมือต่างๆ

สำหรับในเรื่องความปลอดภัย นั้น Apple Intelligence ได้รับการออกแบบมาเพื่อปกป้องความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้ในทุกขั้นตอน เพราะหัวใจสำคัญของ Apple Intelligence คือการประมวลผลบนอุปกรณ์ และหลายๆ โมเดลที่ขับเคลื่อนการทำงาน ต่างก็ทำงานบนอุปกรณ์ทั้งหมด และหากต้องจัดการกับคำขอที่ซับซ้อนมากขึ้น ซึ่งต้องใช้พลังการประมวลผลมากขึ้น ก็มี Private Cloud Compute ที่จะขยายขอบเขตความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัยของอุปกรณ์ Apple ไปยังระบบคลาวด์ เพื่อปลดล็อกความอัจฉริยะที่มากยิ่งขึ้นไปอีก เรียกได้ว่า Private Cloud Compute เป็นการปฏิวัติครั้งสำคัญสำหรับระบบอัจฉริยะบนเซิร์ฟเวอร์ เพราะเมื่อใช้ Private Cloud Compute จะไม่มีการจัดเก็บหรือแชร์ข้อมูลของผู้ใช้กับ Apple อย่างเด็ดขาด และจะใช้ข้อมูลดังกล่าวเพื่อทำตามคำขอเท่านั้น

โดยผู้เชี่ยวชาญอิสระ สามารถตรวจสอบโค้ดที่ทำงานบนเซิร์ฟเวอร์ Apple Silicon ได้ตลอดเวลา เพื่อยืนยันว่ามีการปฏิบัติตามคำมั่นสัญญาด้านความเป็นส่วนตัว ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้เชี่ยวชาญได้เริ่มดำเนินการไปแล้ว

สำหรับผู้ที่เลือกใช้งาน ChatGPT ผ่าน Siri หรือเครื่องมือการเขียนก็มั่นใจได้ว่าจะได้รับการปกป้องความเป็นส่วนตัว ทั้งการอำพรางที่อยู่ IP และการที่ OpenAI ไม่จัดเก็บข้อมูลคำขอ นอกจากนี้ผู้ใช้ยังสามารถเข้าถึง ChatGPT ได้ฟรี โดยไม่ต้องสร้างบัญชี และนโยบายการใช้ข้อมูลของ ChatGPT จะมีผลสำหรับผู้ที่เลือกเชื่อมต่อกับบัญชีของตนเอง

ความพร้อมใช้งาน

Apple Intelligence จะพร้อมให้ใช้งานในรูปแบบของการอัปเดตซอฟต์แวร์ฟรี และคุณสมบัติชุดแรกของ Apple Intelligence จะพร้อมให้ใช้งานในรุ่นเบต้าในเดือนหน้า โดยเป็นส่วนหนึ่งของ iOS 18.1, iPadOS 18.1 และ macOS Sequoia 15.1 ขณะที่อีกหลายคุณสมบัติจะพร้อมให้ใช้งานในเดือนต่อๆ ไป และจะสามารถใช้งานได้บน iPhone 16, iPhone 16 Plus, iPhone 16 Pro, iPhone 16 Pro Max, iPhone 15 Pro, iPhone 15 Pro Max รวมถึง iPad และ Mac พร้อมชิป M1 หรือใหม่กว่าที่ตั้งค่าภาษาของ Siri เป็นภาษาอังกฤษแบบสหรัฐอเมริกา ส่วนภาษาและแพลตฟอร์มอื่นๆ จะทยอยเปิดให้ใช้งานในปีหน้า