ความเคลื่อนไหวทางการเมืองที่สำคัญ ยังคงอยู่ที่อาคารรัฐสภา มีการแถลงนโยบายรัฐบาลต่อรัฐสภาเป็นวันสุดท้าย หลังจากนั้นรัฐบาลภายใต้การนำของ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีคนที่ 31 จะมีอำนาจในการบริหารงานได้ตามกฎหมาย แต่ที่น่าสนใจเมื่อวันที่ 12 ก.ย.67 นายกฯได้เข้าสักการะพระพรหม บนตึกไทยคู่ฟ้า ก่อนสักการะ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำทำเนียบรัฐบาล โดยยึดตามหลักโหราศาสตร์จีน ซึ่งวันที่ 12 ก.ย. เป็นวันเถาะ ถือเป็นวันที่มีการประนีประนอม เหมือนกระต่ายที่รักความสงบ รักสันติ รวมถึงการทำอะไรในวันนี้อยากให้ทุกอย่างมีความรอมชอม ราบรื่นผ่านไปได้อย่างด้วยดี และพบแต่สันติสุขเกิดขึ้นในกิจกรรมต่าง ๆ ถือเป็นการสร้างขวัญกำลังใจ ก่อนปฏิบัติหน้าที่

ขณะที่ในการแถลงนโยบายรัฐบาลต่อรัฐสภา “น.ส.แพทองธาร” ได้ย้ำถึงนโยบายของรัฐบาลที่จะดำเนินการเพื่อแก้ปัญหาของประเทศใน 10 นโยบายเร่งด่วน ทำทันที โดยเฉพาะข้อ 5.เร่งกระตุ้นเศรษฐกิจ ผ่านการผลักดันโครงการดิจิทัลวอลเล็ต โดยให้ความสำคัญกับกลุ่มเปราะบางเป็นลำดับแรก พร้อมทั้งเร่งจัดทำรัฐธรรมนูญ(รธน.)ฉบับประชาชน ให้เป็นประชาธิปไตยมากขึ้นโดยเร็ว

พร้อมยืนยัน “รัฐบาลมีความมุ่งมั่นพิทักษ์รักษาไว้ซึ่งสถาบันพระมหากษัตริย์ สร้างความเข้าใจที่ถูกต้อง เผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับการปฏิบัติพระราชกรณียกิจของสถาบันพระมหากษัตริย์และดำเนินงานตามแนวพระราชดำริอย่างต่อเนื่อง รวมถึงส่งเสริมสถาบันศาสนาให้เป็นกลไกสรร้างคุณธรรมจริยธรรมในการดำเนินชีวิต ตลอดจนดูแลให้มีการปฏิบัติตามและบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัดและจริงจัง ขอให้ความมั่นใจว่า รัฐบาลจะมุ่งมั่นตั้งใจบริหารราชการแผ่นดินด้วยความซื่อสัตย์สุจริต และยึดประโยชน์ประชาชนเป็นที่ตั้ง เพื่อสร้างโอกาสอย่างเท่าเทียม ทำให้คนไทย มีกิน มีใช้ มีเกียรติ มีศักดิ์ศรีนำพาความภาคภูมิใจกลับมาสู่คนไทย และประเทศไทย สร้างความหวังและอนาคตที่ดีกว่าให้ประเทศไทย จากวันนี้ไปถึงอนาคต” น.ส.แพทองธาร กล่าว

ต้องถือเป็นสัญญาประชาคม และการบ้านข้อใหญ่ที่พรรคฝ่ายค้าน ต้องนำไปตรวจสอบในภายหลัง โดยเฉพาะ “นโยบายดิจิทัลวอลเล็ต” แจกเงินหนึ่งหมื่นบาท ซึ่งถือเป็นนโยบายเรือธงของพรรคเพื่อไทย(พท.) กำหนดไว้เป็นนโยบายตั้งแต่สมัยรัฐบาล นายเศรษฐา ทวีสิน แต่ก็ล่าช้าออกมาเรื่อย ๆ จนกระทั่งมาถึงรัฐบาลภายใต้การนำของ น.ส.แพทองธาร ซึ่งมีแนวโน้มเปลี่ยนแปลงเป็นจ่ายเงินสด พร้อมยังยืนยันมุ่งมั่นบริหารราชการแผ่นดินด้วยความซื่อสัตย์สุจริต และยึดประโยชน์ประชาชนเป็นที่ตั้ง เพื่อสร้างโอกาสอย่างเท่าเทียม ทำให้คนไทย มีกิน มีใช้ มีเกียรติ มีศักดิ์ศรีนำพาความภาคภูมิใจกลับมาสู่คนไทย และประเทศไทย สร้างความหวังและอนาคตที่ดีกว่าให้ประเทศไทย อย่าลืมว่า ที่ผ่านมารัฐบาลภายใต้การนำของพรรคเพื่อนไทย มักมีข้อครหาเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อน ดังนั้น ต้องไม่ให้เกิดปัญหานี้

ขณะที่ “นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ” สส.บัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคประชาชน(ปชน.) อภิปรายว่า อยากถามมีนโยบายอะไรที่ได้ผลเป็นรูปธรรมบ้าง ทั้งนี้ประชาชนคาดหวังรัฐบาลที่พรรคเพื่อไทย เป็นแกนนำมาแก้ปัญหา ช่วง 11 เดือนที่ผ่านมา จากการสำรวจของสำนักข่าวแห่งหนึ่ง ระบุว่า มีข้อสั่งการเทียบเท่ามติ ครม. 193 เรื่อง ส่งต่อ 251 หน่วยงานรัฐ และ 162 เรื่อง ไม่มีกรอบเวลา10 เรื่อง ที่หน่วยงานรายงานกลับต่อ ครม. คือ รับลูกและเอาด้วย เพราะรัฐบาลขาดอำนาจนำในการบริหารราชการ และสั่งการที่ราชการไม่ปฏิบัติตาม ซึ่งปัญหาอาจอยู่ที่ไม่เข้าใจระบบราชการ หรือการไม่มีอำนาจ ซึ่งหนึ่งปีของรัฐบาลนั้นสูญเปล่า 3 ปีของรัฐบาลหลังจากนี้ เป็นบทพิสูจน์ว่าจะ “เจ๊า” หรือ “เจ๊ง” โดยเฉพาะนโยบายเร่งด่วน 10 ข้อ ต้องมีรายละเอียดพร้อมปฏิบัติได้ทันที

หัวหน้าพรรคปชน. กล่าวอีกว่า นโยบายเรือธงของรัฐบาลมีเป้าหมายของประชาชนอยู่ตรงไหน คือ เป็นนโยบายเรือธงให้ 3 นาย คือ นายใหญ่ นายหน้า หรือนายทุน เช่น นโยบายดิจิทัลวอลเล็ต ที่เป็นนโยบายเรือธงให้นายใหญ่ได้ขึ้น นโยบายเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ ที่มีข้อสงสัยถึงการเปิดกว้างหรือล็อกการประมูล เพื่อเอื้อนายทุน และโครงการแลนบริดจ์ ในการใช้งบประมาณของรัฐเพื่อเวนคืน เอื้อให้นายหน้าค้าที่ดินหรือไม่ อยากให้นายกฯ ลุกขึ้นชี้แจงนอกสคริปต์ แสดงบทบาทความเป็นผู้นำที่ดี การแก้รธน. เป็นวาระเร่งด่วน ปฏิรูประบบงบประมาณ ระบบภาษี พรรคปชน.ส่งร่างกฎหมายหลายฉบับ และรอให้ นายกฯ ให้คำรับรอง หากเห็นด้วยร่วมกันให้เซ็นกลับมาเดินหน้าในสภาร่วมกันใน 3 ปี ต่อจากนี้

ต้องยอมรับว่าที่ผู้นำพรรคฝ่ายค้าน จัดหนักจัดเต็มพอสมควร โดยเฉพาะตั้งฉายาฝ่ายบริหารยุค น.ส.แพทองธารเป็น “รัฐบาล 3 นาย” คือ นายใหญ่ นายหน้า หรือ นายทุน เช่น นโยบายดิจิทัลวอลเล็ต ที่เป็นนโยบายเรือธงให้นายใหญ่ได้ขึ้น นโยบายเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ ที่มีข้อสงสัยถึงการเปิดกว้างหรือล็อกการประมูลเพื่อเอื้อนายทุน และโครงการแลนบริดจ์ในการใช้งบประมาณของรัฐเพื่อเวนคืน เอื้อให้นายหน้าค้าที่ดินหรือไม่ กลายเป็นบทพิสูจน์ข้อใหญ่ นโยบายที่รัฐบาลจะผลักดันในอนาคต จะมีปัญหาความไม่โปร่งใส ความไม่ชอบมาพาเกิดขึ้นหรือไม่ เพราะอดีตที่ผ่านมา เวลาพรรคพท. เข้ามาบริหารประเทศ มักจะมีข้อครหาเรื่องความไม่โปร่งใส

เชื่อว่าพรรคฝ่ายค้านอย่าง “พรรคประชาชน” (ปชน.) คงหวังโชว์ผลงานอย่างเต็มที่ เพราะหวังผลไปถึงการเลือกตั้งซ่อมสส.จ.พิษณุโลก เขตเลือกตั้งที่ 1 แทนตำแหน่งที่ว่าง ที่จะมีขึ้นในวันอาทิตย์ที่ 15 ก.ย.67 โดยมีผู้สมัคร เพียง 2 คน ได้แก่ หมายเลข 1 นายณฐชนน ชนะบูรณาศักดิ์ หรือโฟล์ค จากพรรคปชน.และะหมายเลข 2 นายจเด็ศ จันทรา หรือบู้ ของพรรคพท. โดยเดิมที่นั่งดังกล่าวเดิมเป็นของ “นายปดิพัทธ์ สันติภาดา” หรือ “หมออ๋อง” อดีตสส.พรรคก้าวไกล (ก.ก.) ซึ่งชนะการเลือกตั้ง ด้วยคะแนน 40,842 คะแนน ดังนั้นพรรคปชน. จึงหมายมั่นปั้นมือ จะรักษาที่นั่งดังกล่าวไว้ให้ หลังต้องพ่ายแพ้ในสนามเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด(อบจ.)ราชบุรี เพราะมีผลต่อการสร้างความเชื่อมั่นให้ “นาย ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ” หรือ “เท้ง” หัวหน้าพรรคปชน. ซึ่งกำลังจะเข้าไปทำหน้าที่ผู้นำพรรคฝ่ายค้านในสภาฯ ต้องรอดูในการแถลงนโยบายรัฐบาลวันสุดท้าย พรรคฝ่ายค้านจะมีทีเด็ดอะไรอีกหรือไม่ ยิ่งการประชุมร่วมรัฐสภาครั้งนี้ มีการถ่ายทอดสดทางสื่อของรัฐด้วย

อีกเรื่องที่น่าสนใจ กลายเป็นวิบากกรรมกับพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ภายใต้การนำของ “บิ๊กป้อม” พล.อ. ประวิตร วงษ์สุวรรณ ในฐานะหัวหน้าพรรค นอกจากพรรคจะแตกเป็นสองเสี่ยง ส่วนหนึ่งนำโดย “ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า” อดีตเลขาธิการพรรค ที่นำพาสส. 20 คน ไปร่วมรัฐบาลกับพรรคพท. ล่าสุดยังมีคลิปหลุด คล้ายเสียงของ “บิ๊กป้อม” เผยแพร่ออกมา ซึ่งนักจัดรายการช่องหนึ่งนำมาเปิดเผย นำมาสู่เสียงวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างกว้างขวาง

และถึงแม้ “พล.ต.ท.ปิยะ ต๊ะวิชัย” โฆษกพรรคพปชร. ออกมาชี้แจงการนำเสนอคลิปเสียงการพูดคุย ที่โยงประเด็นไปถึง พล.อ.ประวิตร และผู้บริหารระดับสูงของพรรคว่า ได้สอบถามข้อเท็จจริงไปยัง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรค และนายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รองหัวหน้าพรรค เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ยืนยันว่าไม่ใช่เสียงการพูดคุยของตัวเอง เพราะไม่เคยพูดคุยถึงเรื่องดังกล่าว ตามที่คลิปเผยแพร่ออกมา จึงเชื่อมั่นว่า เป็นคลิปเสียงปลอมที่ทำขึ้นจากเทคโนโลยีทางดิจิทัล ด้วยระบบปัญญาประดิษฐ ( เอไอ ) ที่สามารถทำลอกเลียนแบบได้เสมือนจริง ทั้งเสียงและภาพ ซึ่งที่ผ่านมา มักจะพบเห็นการทำคลิปในรูปแบบต่างๆ และล้อเลียนพล.อ.ประวิตร เล่นการเมืองต่างๆ มาอย่างต่อเนื่อง

แต่ “นายสุทธิพงษ์ จุลเจริญ” ปลัดกระทรวงมหาดไทย กลับออกมายอมรับว่า 1 ใน 4 คลิป เป็นเสียงของตัวเอง สมัยพล.อ.ประวิตร กำกับดูแลฝ่ายความมั่นคง และดูแลกระทรวงมหาดไทย เป็นการรายงานเพื่อเสนอเข้าสู่ที่ประชุมครม. โดยเสนอชื่อแต่งตั้ง นายขจร ชวโนทัย เป็นอธิบดีกรมส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่น (ปถ.) กับนายอรรถษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ ซึ่งขณะนั้นดำรงตำแหน่งรองปลัดกระทรวงมหาดไทย จึงเสนอแต่งตั้งเพื่อเป็นอธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน ซึ่ง พล.อ.ประวิตรต้องให้ความเห็นชอบ จึงต้องนำเรียน ซึ่งท่านก็เมตตาไม่ก้าวก่าย ให้ความเห็นชอบให้เสนอเข้า ครม.

จากนั้นเรื่องนี้ก็กลายเป็นเหยื่อฝ่ายตรงข้าม เมื่อ “นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์” อดีตโฆษกพรรคพท. นำเรื่องไปร้องเอาผิด พล.อ.ประวิตร วงษ์สุรรณ อดีตรองนายกฯ และหัวหน้าพรรคพปชร.และส.ส.บัญชีรายชื่อ เป็นเจ้าพนักงานรัฐ กระทำผิด รธน.เรื่องการขัดกันแห่งผลประโยชน์ ผิดกฎหมายป.ป.ช.มาตรา 172 ,173 และประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 รวมทั้งประพฤติผิดจริยธรรมร้ายแรง จากกรณีคลิปเสียงหลุด “เรียกรับเงิน” โดยขอให้ป.ป.ช.ไต่สวน ส่งเรื่องต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงนักการเมืองดำเนินคดีฐานเรียกรับเงิน พวกลิ่วล้อหางเครื่องที่ออกมาแก้ตัวแถเป็นคลิปเอไอ ปลัดมหาดไทยออกมายืนยันว่าพูดจริง คลิปจริง ก็ถือเป็นการตบปาก และในวันที่ 13 ก.ย. จะยื่นเรื่องต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ในกรณีคนเป็นอดีตรองนายกฯ รับรองพรุ่งนี้ป่าแตก ถือเป็นการปิดสวิตช์ ป.บ้านป่า และวันที่ 16 ก.ย. สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ให้ตรวจสอบเส้นทางการเงินตั้งแต่ปี 2558

ทั้งนี้ตามมาตรา 173 เจ้าพนักงานรัฐผู้ใดเรียก รับ หรือยอมจะรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใด สำหรับตนเองหรือผู้อื่นโดยมิชอบเพื่อกระทำการ หรือไม่กระทำการอย่างใดในตำแหน่ง ไม่ว่าจะชอบหรือไม่ชอบด้วยหน้าที่ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 5 ปีถึง 20 ปี หรือจำคุกตลอดชีวิต และปรับ 1 แสนถึง 4 แสนบาท

ถือเป็นการตอบโต้ “พล.อ.ประวิตร” และคนใกล้ชิด เนื่องจากที่ผ่านมา เวลามีการร้องเรียน “น.ส. แพทองธาร ชินวัตร” นายกฯและพรรคพท. กระทำผิดกฎหมายและรธน.ในมาตราต่าง ๆ พรรคพท.เชื่อว่า ผู้มีอำนาจในบ้านป่ารอยต่ออยู่เบื้องหลัง เช่นเดียวกับการพ้นจากตำแหน่งนายกฯของ “นายเศรษฐา ทวีสิน” ซึ่งถูกอดีต 40 สมาชิกวุฒิสภา(ส.ว.) ยื่นคำร้อง คงต้องถือเป็นการตอบโต้ เล่นบทตาต่อตาฟันต่อฟัน งานนี้คงต้องติดตามทีมกฎหมายของ “บิ๊กป้อม” จะเอาตัวรอดจากวิกฤติครั้งนี้ได้อย่างไร

ด้าน “ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า” อดีตเลขาธิการพรรคพปชร. ออกมาให้ความเห็นกรณีคลิปเสียงบุคคลคล้าย พล.อ.ประวิตรว่า ไม่ทราบ ไม่มีเสียงของตน หรือว่ามีก็ไม่รู้ ไม่ได้เข้าไปนานแล้ว เลยไม่รู้ความเคลื่อนไหว ส่วนกรณีพรรคพปชร. ตั้งคณะกรรมการสอบสส.กลุ่มของร.อ.ธรรมนัสทั้ง 20 คนว่า ฝ่าฝืนข้อบังคับของพรรคนั้น ไม่ได้มีผลอะไรกับพวกตน แต่กลุ่มสส.ทั้ง 20 คน เมื่อออกมาโดยดี แล้วคุณยังมาวุ่นวาย ก็ให้ระวังหน่อยละกัน บอกแล้วพร้อมสวนกลับ ได้ตั้งวอร์รูมฝ่ายกฎหมาย ให้กลุ่มสสทั้ง 20 คนไว้แล้ว ใครจากวิพากษ์วิจารณ์อะไรก็ตาม ที่ไม่เป็นข้อเท็จจริงก็ให้ระวัง ไม่งั้นก็จะได้ไปกินข้าวเย็นที่แม่ฮ่องสอนและพะเยา

เมื่อถามว่าได้พูดคุยปรับทุกข์กันตามภาษาพี่น้องกับคนที่อยู่ในพรรคพปชร.หรือไม่ ร.อ.ธรรมนัส กล่าวว่า ส่วนใหญ่คนที่รักพรรคจริง ๆ เขาก็โทรศัพท์มาหา ก็บอกไปว่าไม่อยากจะก้าวล่วงกับกิจกรรมภายใน เชื่อจะมีกลุ่มใหญ่ออกมาอีก เมื่อถามต่อว่า มีหลายคนมองว่าคลิปที่หลุดออกมาเป็นฝีมือของร.อ.ธรรมนัสหรือไม่ ร.อ.ธรรมนัส กล่าวว่า จะเอามาจากไหน ออกมาตั้งนานแล้ว บางคลิปเพิ่งเกิดขึ้นสด ๆ ลองฟังให้ดี แต่ได้เตือนสมัยที่อยู่ในพรรคแล้วว่า จะคุยอะไรทางโทรศัพท์ให้ระวังโดนดักฟัง แม้กระทั่งตนก็ยังต้องระวัง อย่าไปโทษคนอื่นเลย เป็นเรื่องภายในมากกว่า ใครจะเข้าถึงตรงนั้นได้ง่ายๆ เมื่อถามถึงกรณีที่ นายสามารถ เจนชัยจิตราวนิช รองโฆษกพปชร. ออกมาระบุว่าเป็นเสียงเอไอ ร.อ.ธรรมนัส กล่าวว่า ไม่ใช่ ปลัดกระทรวงมหาดไทยก็ออกมายอมรับแล้วว่า เป็นเสียงท่านเอง อันนี้ก็ต้องฝากว่าคนที่รักลุงจริง ๆ เวลาคุณจะตอบในสังคมอย่าไปบิดเบือน จนมองว่าสังคมมีแต่คนโง่ไปหมด

ต้อรอดูคลิปเสียงคล้าย “ลุงป้อม” จะส่งผลกระทบกับพรรคพปชร. มากน้อยแค่ไหน แต่ในเบื้องต้นคงต้องไปต่อสู้ตามกฎหมาย หลังมีคนนำเรื่องไปร้องให้ตรวจสอบ ก็ถือเป็นช่วงพระศุกร์เข้าพระเสาร์แทรก นอกจะต้องเป็นพรรคฝ่ายค้านอย่างไม่เต็มใจ บรรดาสมาชิกพรรคพปชร.ทะยอยลาออก พรรคที่เคยเป็นแกนนำรัฐบาลจะฝ่าวิกฤติที่เกิดขึ้นไปได้อย่างไร.