สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงวอชิงตัน ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 11 ก.ย. ว่าผลสำรวจความคิดเห็น “แบบฉับพลัน” ของสถานีโทรทัศน์ซีเอ็นเอ็น เกี่ยวกับการดีเบตระหว่างนางกมลา แฮร์ริส รองประธานาธิบดีและแคนดิเดตของพรรคเดโมแครต กับนายโดนัลด์ ทรัมป์ อดีตประธานาธิบดีและตัวแทนของพรรครีพับลิกัน ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อคืนวันอังคารตามเวลาท้องถิ่นของสหรัฐ ปรากฏว่า 63% ของกลุ่มตัวอย่าง 605 คน ซึ่งล้วนเป็นผู้มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้ง มองว่า แฮร์ริสทำได้ดีกว่าทรัมป์ ซึ่งได้รับคะแนนไป 37%


เมื่อจำแนกคะแนนตามฝ่ายสนับสนุน 96% ของฝ่ายสนับสนุนแฮร์ริส มองว่าเธอทำได้ดีกว่าทรัมป์ ขณะที่ 69% ของฝ่ายสนับสนุนทรัมป์ มองว่าอดีตผู้นำสหรัฐทำได้ดีกว่ารองผู้นำคนปัจจุบัน อย่างไรก็ตาม กลุ่มตัวอย่างส่วนใหญ่ตอบตรงกันว่า การดีเบตที่เกิดขึ้น “ไม่มีผล” ต่อการตัดสินใจลงคะแนนเลือกผู้สมัคร


ทั้งนี้ ตัวเลขที่ออกมากลับกัน เมื่อเทียบกับการดีเบตเมื่อวันที่ 27 มิ.ย. ที่ผ่านมา ทางสถานีโทรทัศน์ซีเอ็นเอ็น ระหว่างทรัมป์กับประธานาธิบดีโจ ไบเดน ซึ่งตอนนั้นยังเป็นตัวแทนพรรคเดโมแครต โดยโพลของซีเอ็นเอ็นให้ทรัมป์เป็นฝ่ายชนะไบเดน 63% ต่อ 37%

เมื่อวิเคราะห์จำแนกตามนโยบาย พบว่า ทรัมป์มีคะแนนนำเหนือแฮร์ริสมากถึง 23 จุด ในด้านการจัดการพรมแดน ซึ่งรวมถึงผู้อพยพ และ 6 จุด ในฐานะ “ภาวะความเป็นประธานาธิบดี” แต่แฮร์ริสมีคะแนนนำเหนือทรัมป์ 21 จุด ในเรื่องนโยบายการทำแท้ง และ 9 จุด ในด้าน “การปกป้องประชาธิปไตย”

ส่วนในด้านเศรษฐกิจ กลุ่มตัวอย่าง 55% เชื่อว่าทรัมป์จะทำได้ดีกว่าแฮร์ริส ซึ่งได้คะแนนไปเพียง 35%


ทั้งนี้ทั้งนั้น 54% ของกลุ่มตัวอย่าง “มีความเชื่อมั่นไม่มากก็น้อย” ว่าทรัมป์และแฮร์ริสจะสามารถทำหน้าที่ผู้นำประเทศได้ โดยเมื่อแยกเป็นตัวบุคคล พบว่าทรัมป์ได้มากกว่าที่ 36% และ 32% สำหรับแฮร์ริส.

เครดิตภาพ : GETTY IMAGES