เมื่อวันที่ 11 ก.ย. ที่ Sitara law firm นายเคน และมารดา พร้อมล่าม ผู้เสียหาย เข้าร้องนายษิทรา เบี้ยบังเกิด หรือทนายตั้ม หลังพบพฤติกรรมของภรรยาชาวไทยเปลี่ยน หลังอ้างจะไปสมัคร สส.พรรคดัง แต่ต้องให้หย่าร้างกันไป

นายษิทรา กล่าวว่า นายเคน และมารดาชาวจีน เข้ามาอาศัยอยู่ในประเทศไทยได้หลายปีแล้ว โดยนายเคนรู้จักกับอดีตภรรยาเมื่อ 7 ปีก่อนหลังจากมาเที่ยวที่ประเทศไทย หลังจากนั้นไม่นานตัวอดีตภรรยาก็ได้ไปเที่ยวที่ประเทศจีนก่อนที่จะมีการคุยกัน และตกลงคบหากัน หลังจากคบหากันได้ไม่นาน นายเคนได้เดินทางมาหาอดีตภรรยา ที่ประเทศไทยเดือนละ 1 ครั้ง โดยช่วงที่คบกันแรกๆ ขณะยังไม่แต่งงาน อดีตภรรยาได้ขอเงิน จำนวน 500,000 บาท เพื่อนำไปวางดาวน์คอนโดฯ แห่งหนึ่งย่านสาทร

หลังจากนั้นได้แต่งงานกันในช่วงเดือน ก.ย. 65 ก่อนที่จะมีลูกด้วยกัน 1 คน ที่เข้ามาร้องในวันนี้เพราะตัวภรรยามีพฤติกรรมที่เปลี่ยนไป ไม่สนใจเหมือนก่อน และนำทรัพย์สินภายในบ้านออกไป และเมื่อมีการขนออกไปเรื่อยๆ จึงได้ตั้งข้อสงสัยถึงธุรกิจอีกหลายอย่าง ที่ได้ มาตั้งสาขาในประเทศไทย และทราบภายหลังว่าหุ้นบริษัทภายในประเทศไทย ของนายเคน มีหุ้นอยู่เพียงแค่ 1% และ อดีตภรรยามีหุ้นทั้งหมด 99% ทั้งนี้เนื่องจากเอกสารทั้งหมดเป็นภาษาไทยและนายเคน ไม่ทราบภาษาไทย รวมถึงยังเชื่อใจ จึงให้ภรรยาเป็นผู้ดำเนินการ ก่อนทราบว่าถูกหลอกในภายหลัง

โดยหลังจากที่ภรรยาได้เริ่มขนของออกจากบ้าน นายเคน และอดีตภรรยาเริ่มที่จะมีปากเสียงกัน โดยหลังจากนั้นภรรยาได้บอกนายเคนว่า จะลงเล่นการเมืองซึ่งอ้างว่าสนิทสนมกับผู้ใหญ่ทางพรรคการเมืองชื่อดังพรรคหนึ่ง โดยจะลง สส. ภรรยาก็บอกว่าจำเป็นที่จะต้องหย่า หากไม่หย่าจะติดคุณสมบัติในการสมัคร ตัวนายเคนจึงได้ตกลงที่จะหย่าเพราะหวังว่าอนาคตของอดีตภรรยาจะดีขึ้น

ต่อมาวันที่ 4 ก.ย. อดีตภรรยาได้ขับรถเข้ามาขนของพยายามที่จะนำเหล้าและไวน์ภายในบ้านรวมถึงนาฬิกา เงินสดภายในเซฟ ก่อนที่จะทะเลาะกัน หลังจากนั้ ก็มีรถอีกคันขับตามเข้ามา เมื่อรถคันดังกล่าวจอดลงปรากฏผู้ชายคนหนึ่งที่ลงรถมาและมีปากเสียงกันอีกครั้งแต่เมื่อบอกว่าให้พูดภาษาจีนหรือภาษาอังกฤษ ผู้ชายคนดังกล่าวไม่สามารถพูดได้จึงได้มีการยื้อแย่งของกัน

ตัวนายเคนจึงตั้งข้อสงสัย ว่าชายคนดังกล่าวเป็นใครจึงได้สอบถามทางหมู่บ้านจนทราบว่า ทุกครั้งที่อดีตภรรยาเข้ามาภายในหมู่บ้านจะมีผู้ชายคนนี้มาด้วยเสมอ แจ้งกับ รปภ.หมู่บ้านว่าเป็นสามีของอดีตภรรยาและเป็นเจ้าของบ้าน โดยหลังจากเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นตัวนายเคนจึงรู้สึกกลัวเพราะอดีตภรรยาได้ขู่ว่าจะดำเนินคดีหลายอย่างจึงได้เข้ามาปรึกษากับตนว่าจะทำอย่างไรได้บ้าง

นายเคน กล่าวว่า ทรัพย์สินตอนนี้ที่หายไปมีเงินสดในตู้เซฟ 20 ล้านบาท นาฬิกา กระเป๋า และสร้อยไข่มุก ส่วนอสังหาริมทรัพย์ประกอบด้วยบ้านย่านพระราม 2 ย่านบางแค และสุขุมวิท 31 เป็นบ้านพัก รวมถึงคอนโดฯ ย่านสาทร โดยชื่อผู้ถือครองทั้งเป็นอดีตภรรยาของตนเพราะตนเป็นคนต่างชาติจึงไม่สามารถถือครองได้โดยรวมมูลค่าทั้งหมดที่คาดการณ์ไว้เกิน 100 ล้านบาทที่ตัวอดีตภรรยานำไป

นายเคน กล่าวอีกว่า ทรัพย์สินทั้งหมดเป็นของร่วมกันแต่ตัวอดีตภรรยาแจ้งว่า “เงินฉันก็คือเงินฉัน เงินคุณก็คือเงินฉัน” ทั้งอดีตภรรยายังข่มขู่และบอกอีกว่าจะไล่ตนกลับประเทศ หากไม่กลับจะให้เจ้าหน้าที่มาจับให้ติดคุก โดยแจ้งว่าตนเป็นคนไทย แต่พวกคุณเป็นต่างชาติหากจะฟ้องฉันมีอำนาจพอที่จะทำให้คุณติดคุก ทั้งนี้เนื่องจากตนไม่รู้ถึงกฎหมายในประเทศไทยจึงเป็นกังวลว่าจะทำอะไรผิดหรือเปล่า

นายเคน กล่าวอีกว่า ก่อนหน้าเคยโทรฯ หาภรรยาให้มาพูดคุยเรื่องทรัพย์สิน แต่อดีตภรรยาไม่รับสายพร้อมกับส่งข้อความมาว่า “คุณเรียกทนายมาคุยกับฉันได้เลย” เมื่อถามว่าเคยทุบตีอดีตภรรยาหรือทำให้ช้ำใจหรือไม่ นายเคน บอกว่า ตนไม่เคยทำร้ายอดีตภรรยา มีแค่ปากเสียงกันเท่านั้น และก่อนหน้าอดีตภรรยาเป็นคนนอนหลับยากจึงไม่อยากให้ลูกอยู่ด้วยเวลานอน แต่ยายแจ้งว่าลูกควรอยู่กับแม่เวลานอนจะได้สนิทกัน

ในช่วงหนึ่งของการให้สัมภาษณ์มารดาของนายเคนกล่าวว่า ตั้งแต่ตนกลับมาไทยครั้งนี้เป็นคนดูลูกและหลานมาตลอด ก่อนหน้าตนรักและเอ็นดูลูกสะใภ้คนนี้มาก เนื่องจากที่บ้านมีนายเคนเป็นลูกแค่คนเดียว ไม่เคยมีลูกสาวจึงได้รักและเอ็นดูสะใภ้เป็นพิเศษ ขนาดนายเคนและอดีตภรรยาทะเลาะกัน ตนก็เข้าข้างสะใภ้ตลอด แต่ในช่วงเดือนกรกฎาคม ตัวลูกสะใภ้ก็เปลี่ยนไปไม่ถามถึงหลานชาย ตนจึงคิดว่าเริ่มแปลกๆ และเสียใจมากกับการกระทำของลูกสะใภ้

นายษิทรา กล่าวถึงแนวทางการต่อสู้คดีว่า มีสองแนวทางในการต่อสู้หลังจากนี้โดยจากที่ทราบอดีตภรรยานั้นทีทรัพย์สินจากหลายทางและจะทำการเช็กเส้นทางการเงิน และจะพาตัวนายเคนไปแจ้งความเรื่องการลักทรัพย์ที่อดีตภรรยาจะเอาไป และในวันดังกล่าวได้เข้ามาพร้อมสามีใหม่จึงจะแจ้งข้อหาร่วมกันลักทรัพย์ ในส่วนของอสังหาริมทรัพย์นั้นก็ต้องว่ากันไปตามกฎหมาย เพราะเป็นของที่หามาได้ขณะจดทะเบียน

ทั้งนี้มีผู้ใหญ่ที่สนิทกับสส.พรรคการเมืองได้เข้ามาให้ข้อมูลกับตน ว่าเป็นคนพาอดีตภรรยาของนายเคนไปทำความรู้จักกับผู้ใหญ่ภายในพรรค และในขณะนี้ทางพรรคการเมืองดังกล่าวยังไม่ได้ติดต่อเข้ามาแต่จากที่ทราบคาดว่าน่าจะเป็นเบื้องต้นในขั้นตอนของการลงสมัคร สส.เพื่อลงเล่นการเมืองในนัดถัดไป

นายษิทรา กล่าวทิ้งท้ายว่า ตนไม่มีความรู้สึกกลัว ที่ฝั่งอดีตภรรยานายเคนบอกว่ารู้จักกับผู้ใหญ่ภายในพรรคการเมือง แต่ที่หนักใจมากกว่าคือการสืบหาทรัพย์สินที่อาจกระจายออกไปมากกว่า.