สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงเตหะราน ประเทศอิหร่าน เมื่อวันที่ 11 ก.ย. ว่า สหราชอาณาจักร ฝรั่งเศส และเยอรมนี ในนามกลุ่ม “อี3” ออกแถลงการณ์ร่วมกัน เกี่ยวกับการยุติข้อตกลงความร่วมมือด้านการบินพลเรือนกับอิหร่าน และการคว่ำบาตรอิหร่าน แอร์ ซึ่งเป็นสายการบินแห่งชาติ


ขณะที่กระทรวงการคลังสหรัฐ ประกาศมาตรการคว่ำบาตรบุคคลสัญชาติอิหร่าน 10 คน และบริษัทอีก 6 แห่ง ฐานมีความเกี่ยวข้องและให้ความสนับสนุนอุตสาหกรรมกลาโหมของอิหร่าน นอกจากนี้ รายงานของกระทรวงการคลังสหรัฐ ยังระบุเกี่ยวกับ เรือ 4 ลำ “ที่สามารถขนส่งอาวุธ ชิ้นส่วน และระบบที่เกี่ยวข้อง”


ความเคลื่อนไหวดังกล่าวของพันธมิตรตะวันตก เกิดขึ้นหลังรายงานของสหภาพยุโรป (อียู) ที่ระบุว่า อิหร่านมอบความสนับสนุนด้านขีปนาวุธนำวิถีให้แก่รัสเซีย เพื่อนำไปใช้ในการทำสงครามกับยูเครน ซึ่ง นาสเซอร์ คานานี โฆษกกระทรวงการต่างประเทศอิหร่าน กล่าวว่า “ไม่เป็นความจริงอย่างสิ้นเชิง” พร้อมทั้งวิจารณ์กลับว่า ข้อกล่าวหาดังกล่าวมาจาก “หนึ่งในผู้สนับสนุนยูเครนรายใหญ่ที่สุด”


ด้านนายเวดันต์ ปาเทล รองโฆษกกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐ กล่าวว่า การที่อิหร่านมอบความสนับสนุนด้านขีปนาวุธให้แก่รัสเซียไม่ว่าในทางใดก็ตาม ถือเป็นการกระทำที่ยั่วยุ และเป็นการยกระดับสงครามอย่างร้ายแรง ซึ่งสหรัฐและพันธมิตร “ไม่ลังเลที่จะตอบโต้”

ส่วนนายดมิทรี เปสคอฟ โฆษกทำเนียบเครมลิน กล่าวว่า “ไม่ใช่ทุกครั้งที่ข้อมูลเหล่านั้นจะถูกต้อง” อย่างไรก็ดี อิหร่านคือหนึ่งในพันธมิตรสำคัญของรัสเซีย ทั้งสองประเทศพัฒนาความร่วมมือกัน “ในทุกด้านที่เป็นไปได้” ทั้งในด้านเศรษฐกิจ “และด้านที่อ่อนไหว”


ย้อนกลับไปเมื่อปลายปี 2565 นายฮอสเซ็น เอเมียร์-อับโดลลาเฮียน รมว.การต่างประเทศอิหร่านในเวลานั้น กล่าวว่า รัฐบาลเตหะรานมอบความสนับสนุนที่เป็นอากาศยานไร้คนขับ หรือ โดรน ให้แก่รัสเซียจริง แต่เป็นการมอบความช่วยเหลือที่เกิดขึ้นก่อนสงคราม


ต่อมาเมื่อช่วงต้นปี 2566 ยูเครนประกาศลดระดับความสัมพันธ์ทางการทูตกับอิหร่าน และออกมาตรการคว่ำบาตรรัฐบาลเตหะราน ที่รวมถึงการ “แช่แข็ง” การค้าระดับทวิภาคี เป็นเวลานานถึง 50 ปี.

เครดิตภาพ : AFP