นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล ประธานกรรมการสภาธุรกิจตลาดทุนไทย (เฟทโก้) เปิดเผยว่า แม้ขณะนี้ประเทศไทยจะมีความชัดเจนเรื่องการเมืองและความต่อเนื่องของนโยบายรัฐบาล อาทิ แนวคิดกองทุนวายุภักษ์ รวมถึงการแจกเงินดิจิทัล แต่โจทย์สำคัญที่น่าทำในขณะนี้คือ เร่งออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจฐานรากที่ขณะนี้มีปัญหาหนัก ทั้งกำลังซื้อไม่ดี หนี้ครัวเรือนสูง และสินเชื่อรถยนต์ สินเชื่อบ้านหนี้เสีย(เอ็นพีแอล) สูงขึ้นอย่างรวดเร็ว

“ปัญหาเอ็นพีแอลเป็นปัญหาที่อยู่เป็นจุดๆ ซึ่งทางแก้ที่ดี คือการทำงานใกล้ชิดกับธนาคาร โดยมองว่าลูกค้ารายใหญ่นั้นความสามารถในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไปข้างหน้าอยู่แล้ว แต่กลุ่มเอสเอ็มอีกำลังมีปัญหาเรื่องของการปรับตัวทางเศรษฐกิจ ส่วนผู้ประกอบการขนาดเล็กๆมีปัญหาเรื่องหนี้เสีย และทางออกที่ดีคือ รัฐบาลต้องหาแนวทางใช้เงินจากกำไรบริษัทจดทะเบียน(บจ.)ขนาดใหญ่มาช่วยดูแลกลุ่มเล็ก และเอสเอ็มอี เช่น นำกำไรบางส่วนของกลุ่มธนาคารเข้ามาช่วยเหลือเป็นกลุ่มๆ โดยที่ธนาคารเป็นผู้ขับเคลื่อนเรื่องนี้ร่วมกับรัฐบาล”

ขณะที่ในปีถัดไป รัฐบาลต้องใส่พื้นฐานเศรษฐกิจที่ดีเข้าไปด้วยการลงทุนในโครงการใหญ่ๆเดิมที่เคยเตรียมการไว้ อาทิ โครงการอีอีซี เช่น ท่าเรือ สนามบิน รถไฟ มอเตอร์เวย์ รถไฟรางคู่ รถไฟใต้ดิน รวมไปถึงการขยายสนามบินสุวรรณภูมิดอนเมืองภูเก็ตเชียงใหม่ โดยเร่งทำให้เร็วที่สุดเพราะการทำโครงสร้างพื้นฐานเหล่านี้ เป็นการสร้างให้เศรษฐกิจโตได้ในอนาคต และจากนั้นให้ชักชวนนักลงทุนต่างชาติเข้ามาตามนโยบายของอดีตนายกฯเศรษฐา ทวีสิน เพื่อช่วงชิง การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (เอฟดีไอ) โดยเฉพาะด้านเทคโนโลยีสมัยใหม่ เพื่อเป็นจุดเปลี่ยนเศรษฐกิจไทยให้เติบโต

จากนั้นในระยะยาวอยากให้ดำเนินการโครงสร้างพื้นฐานที่แท้จริง เช่น การเปลี่ยนประเทศไทยไปสู่ประเทศที่พึ่งพาเทคโนโลยีให้มากขึ้น เพราะทุกวันนี้เราไม่สามารถพึ่งพากลุ่มเดิมๆ เช่น ท่องเที่ยวเกษตร หรืออื่นๆได้อีกนาน เพราะเกมส์การทำตลาดปัจจุบันเป็นเกมส์ของเทคโนโลยี โดยต้องสร้างพื้นที่ใหม่ให้แก่ประเทศได้อย่างแท้จริง ซึ่งหากทำได้จะช่วยผลักดันจีดีพีไทยโตถึง 4%

“ไม่อยากให้รัฐบาลทำโครงการใหม่ๆเลยเพราะต้องใช้เวลา 2-3 ปีกว่าเริ่มได้ จึงควรทำโครงการที่ผ่านการอนุมัติแล้ว เพื่อสร้างความเชื่อมั่น และเป็นโครงการที่สาธิตให้ต่างชาติได้เห็นว่าเราทำได้ โดยอยากให้เร่งดำเนินการตั้งแต่ระยะแรกและซื้อเวลาดำเนินการโครงการใหญ่ๆต่อไป ตามขั้นตอนคือ กระตุ้นระยะสั้น ขับเคลื่อนโครงการที่มีอยู่แล้ว เตรียมโครงการใหม่ และเตรียมอนาคตที่เป็นเทคโนโลยี ซึ่งหากทำสิ่งเหล่านี้ได้ นักลงทุนก็จะมั่นใจในประเทศไทย“

อย่างไรก็ตาม ภาพรวมดัชนีหุ้นไทยสิ้นปีนี้คาดว่า บรรดานักวิเคราะห์จะมีการปรับเป้าหมายใหม่หลังจากที่หุ้นไทยมีการฟื้นตัวขึ้นไปอย่างมาก จากเป้าหมายเดิมเมื่อเดือน ก.ค.67 ที่มองว่า สิ้นไตรมาส3 ดัชนีอยู่ 1,379 จุด ซึ่งขณะนี้ปรับขึ้นมาสูงกว่าที่คาดการณ์แล้ว และคาดว่าปลายปีจะอยู่ที่ 1462 จุด