ถูกสนใจรัวๆเมื่อรายการ “เมนูของพี่ใส่พริกกี่เม็ด” ขอสานฝันให้กับพิธีกรสาว “แก้มบุ๋ม ปรียาดา” คว้าตัว “ซานิ นิภาภรณ์” นักร้องและพิธีกรสายฮามาเป็นแขกรับเชิญ ซึ่งซานิได้เผยเรื่องเศร้าที่สุดในชีวิตกับเหตุการณ์ที่จำฝังใจเรื่องแฟนคลับ
ซานิ เผยว่า “ล่าสุดไปเที่ยวยุโรปก็ไปเที่ยวกับแม่ ก็สนุกค่ะ เพราะจริงๆ แล้วพี่นิเป็นคนที่ชอบเที่ยวเองไม่ได้ไปกับทัวร์ อยากรู้ว่าตรงไหนมีที่เที่ยวบ้างก็ศึกษาไว้ตั้งแต่ก่อนตอนช่วงโควิดมา เชื่อไหมแล้วเราจองทุกอย่างหมดแล้วก็ต้องไปเคลียร์กับเขาใหม่เลย บางที่ก็คืนเงินเต็ม แต่บางที่ก็ไม่ให้คืนเลย ครั้งนี้ก็ไป สวิส อิตาลี ฝรั่งเศส คือมีความคิดว่าอยากเที่ยวตอนที่แม่เขายังมีแรง อย่าไปชวนคนแก่เที่ยวในตอนที่ต้องนั่งรถเข็นแล้ว ในตอนที่เขาเดินไหวอะไรไหวก็เลยอยากให้ไปได้เห็นอะไรเต็มๆ แล้วก็พาเขาไปเที่ยวแบบสุดๆไปเลย ตอนไปก็มีวีรกรรมเลย แต่จะมีแค่แบบฝรั่งทำเหมือนจะมาขโมยมือถือ ไปถึงสวิสเราก็คิดว่าเป็นประเทศที่ค่าครองชีพคือแพงที่สุดถูกไหม เลยคิดว่าเป็นประเทศที่ไม่ต้องระวังที่สุดแล้ว ก็เลยถือมือถือกันอย่างปกติไม่ได้ดูอะไรเลย ฝรั่งเดินมาเมาแล้วก็หยิบมือถือ เรายืนถ่ายภาพแล้วก็แม่อยู่ด้านหลัง เราถ่ายอยู่ตรงสะพาน แล้วแม่ก็ถือมือถือแล้วเขาก็เดินมาข้างหลังเขาสูงไงก็หยิบไปเลย รู้แล้วล่ะว่าแม่ตกใจมาก เราก็ตกใจมากเหมือนกัน เราเป็นคนมือไวอยู่แล้วก็ต่อยหลังมันไงจะเอามือถือคืน ต่อยปึ้ง! เราก็คว้ามือถือคืน มันก็ทำหน้าแล้วโชว์อวัยวะใส่ ซึ่งพอดีคนจีนเขาน่ารักมาก เดินมาแบบแก๊งค์มังกรหยก จากด้านหลังแล้วเหมือนแบบยูมีเรื่องเหรอ เขาคงคิดว่าเราคือชาวจีนเดี๋ยวฉันจะช่วยเธอเอง แล้วขโมยมันก็เลยวิ่งหนีไป โอเคปลอดภัยก็ขอบคุณนะ เขาเป็นกลุ่มคนจีนที่กำลังเดินออกมาจากโรงแรมพอดี ตรงข้างหน้าสะพานมันมีโรงแรม”
“เราสนิทและติดแม่แบบสุดๆ ที่วันนี้ยังนอนด้วยกันอยู่เลย นอนห้องเดียวกันเราจะ 40 แล้วนะ อาบน้ำด้วยกัน จนคิดว่าเราติดแม่หรือว่าแม่ติดเรา พอหลังๆเริ่มสังเกตุตัวเองว่าเป็นเราติดแม่ มาด้วยกันทุกงานแล้วเพื่อนพูดทุกคนว่าจะ 40 แล้วนะติดแม่เป็นลูกแหง่ ก็ไม่เป็นไรค่ะ ก็มีแต่เขานะ แล้วเขาก็ขับรถให้เราด้วย เราไม่ขับเองไงเป็นคนกตัญญู เพราะว่าเงินเดือนเราที่ได้ให้เขาหมดไงก็ทำงานบ้างสิ กลางคืนก็พาแม่ไปด้วยนะไม่ใช่ไรเราเมาให้แม่ขับ แล้วทุกครั้งที่คุณตำรวจเห็นคนแก่ขับปล่อยผ่าน ณ วันนี้รู้สึกว่าอยู่ตัวแล้วก็ยังไม่ได้อยากทำอะไรเพิ่มที่มันจะดูเหนื่อยไปกว่านี้แล้ว อันนี้คือสุดๆ ของเราแล้ว เวลาร้องเพลงกลางคืนเจอแปลกๆเรียกว่าเจอเยอะ แต่ว่าไม่แปลกเท่าเรานะ สมมุติพอเขาแปลกมาเราก็แปลกกลับ หรือลูกๆหลานๆ LGBTQ เขาอยากโชว์ก็ให้โชว์บนเวทีเลย พอเขาโชว์เสร็จเขาก็จะบอกเราทำบ้างสิ เราก็พวกบ้ายุ เราก็ทำ เพราะฉะนั้นอะไรที่มันพีคๆไม่ค่อย ยกเว้นสมมุติว่าร้องเพลงอยู่แล้วเจอลูกค้าที่เมามากๆ แล้วก็ดึงคุยกับเราไม่จบ มาจับเราแล้วคุยไม่รู้เรื่อง เราก็จะบอกพี่แอดไลน์ไหมพิมพ์มาจะได้รู้เรื่อง เขาก็จะรู้แล้วว่าพูดไม่รู้เรื่องหรือเพื่อนเขาก็จะมาดึงออกไป เพราะฉะนั้นเหตุการณ์พีคๆไม่ค่อยมีเราเคลียร์ได้หมด”
ซานิ เล่าต่อว่า “เรื่องเศร้าในชีวิต ส่วนใหญ่ในชีวิตที่สำคัญคือเรื่องความตาย ซึ่งเรามักจะจำแล้วไม่ค่อยลืม เพราะมันเป็นเหตุการณ์ที่เอากลับคืนมาไม่ได้แล้ว เป็นเรื่องของแฟนคลับที่เสียชีวิต แล้วแฟนคลับคนนี้ชื่อพี่เจี๊ยบ คือเราอยู่ด้วยกันเป็นครอบครัวมาตลอด และเขาเป็นเหมือนกำลังแรงใจที่ดีในเวลาที่เราออกไปอีเวนท์ไปงานต่างๆ ก็จะเห็นเขา อย่างสมมุติถ้าเราบอกว่าหิวน้ำจังเลยเขาก็จะเป็นคนแรกที่วิ่งไป หรือถ้าพูดว่าหนูหิวน้ำจังเลยตรงนี้มีร้านไหม เขาก็จะบอกว่าหนูรอแป๊ปนึงแล้ววิ่งไปเลย โดยที่ร่างกายของเขาก็มีโรคมีอะไรที่มันเยอะมาก แต่เราไม่เคยไปนั่งสังเกตุเลยว่าเขาเป็นอะไรหรือเปล่าเพราะเขาไม่เคยแสดงออกให้เราเห็น แล้วเราก็ไม่รู้ว่าเขาเป็นอะไรจนวันที่เขาเข้าโรงพยาบาลด้วยอาการหน้ามืดแล้วก็น็อคไปเลยเป็นลม ที่บ้านเขาก็พาไปส่งโรงพยาบาล เราก็คิดว่าเขาจะหาย เพราะเรายังโทรคุยกับเขาอยู่ว่าโอเคหรือเปล่า คุยกับเขาในวันนั้นหลังจากนั้นอีก 2 วันเขาเสียชีวิตเลย เรางงเลยตั้งตัวไม่ทัน ณ ทุกวันนี้ยังไม่รู้สึกว่าเขาเสีย แค่รู้สึกว่าเขาไม่มา ในใจคิดว่าเขาไม่มาแล้วก็ไม่อยากรับความเป็นจริงว่าเขาไม่อยู่ตรงนี้แล้ว เพราะภาพเขามันชัดมากจนเรารู้สึกแค่ว่าเขาไม่อยู่ แต่วันที่รู้คือสุดมากคือเราเข้าบ้านไม่ได้เลย พอรู้ข่าวแฟนคลับผู้ใหญ่โทรมา เราเข้าบ้านไม่ได้แล้วแม่ก็งง ลูกเป็นอะไรทำไมไม่เข้าบ้าน นั่งอยู่หน้าบ้านเกือบชั่วโมงร้องไห้ๆๆ พอบอกแม่ แม่ก็ร้องไห้ด้วยกัน จะบอกทุกคนว่าถ้ายังมีกันอยู่บอกซะรักไหม เพราะไม่รู้เลยว่าจะเกิดอะไรขึ้น เราอยู่กันมาตั้งแต่ AF จนเป็นครอบครัวแล้ว หัวเราะ ร้องไห้ด้วยกัน มันก็สุดนะสำหรับเรา (น้ำตาคลอ)”