เมื่อวันที่ 7 ก.ย. พล.ต.อนุสรณ์ โออุไร รองแม่ทัพภาคที่ 4 /รอง ผอ.รมน.ภาค 4 เปิดเผยถึงความคืบหน้าการบังคับใช้กฎหมาย การแก้ไขปัญหาการบุกรุกทําลายทรัพยากรธรรมชาติในพื้นที่ อ.เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี ว่า ล่าสุด กอ.รมน.ภาค 4 ได้รับข้อมูลการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว และการทำงานของคนต่างด้าวในพื้นที่ จ.สุราษฎร์ธานี จากตรวจคนเข้าเมือง จ.สุราษฎร์ธานี บก.ตม.6 เพื่อใช้ในการประกอบสำนวนการสอบสวนการตรวจสอบการก่อสร้างวิลล่าหรูบนยอดเขาของกลุ่มทุนต่างชาติ ซึ่งขณะทำงานจะได้ใช้เป็นหลักฐาน เพื่อร้องทุกข์กล่าวโทษในการดำเนินคดีกับบุคคลที่เกี่ยวข้องต่อไป ตรงนี้ถือว่าเป็นความร่วมมือด้วยดีจากหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายที่เกี่ยวข้อง และเราเชื่อว่าจะสามารถยับยั้ง และแก้ไขปัญหาการก่อสร้างบนที่ลาดชันสูงและการประกอบธุรกิจของชาวต่างด้าวในพื้นที่ อ.เกาะสมุย ให้ความคืบหน้า และประสบผลในเร็ววันนี้

พล.ต.อนุสรณ์ กล่าวด้วยว่า คณะทำงาน สมุยโมเดล ได้ส่งสำนวนการสอบสวนส่งฟ้องต่อตำรวจ ปทส. ไปแล้ว 93 คดี จำนวนวิลล่า 93 หลัง ซึ่งส่วนใหญ่ผู้กระทำผิดเป็นนักลงทุนจากต่างชาติ ซึ่งนักลงทุนเหล่านี้ไม่สามารถหาข้อมูลที่ถูกต้องกับ BOI (Board of Investment) หรือ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน ได้ ก็จะอาศัยนักกฎหมายที่เป็นคนไทย หาช่องว่างของกฎหมายมาอำนวยความสะดวกให้กับนักลงทุนเหล่านี้ โดยตนเองก็ได้รับผลประโยชน์ จริงๆ แล้ว เราเชื่อว่านักลงทุนเหล่านี้อาจจะต้องการที่จะมาลงทุนในพื้นที่เกาะสมุยแบบถูกต้อง แต่เส้นทางในการเริ่มต้นหรือการเดินเข้ามาลงทุนอาจจะไปผิดทาง เมื่อผิดตั้งแต่นับหนึ่ง ก็ผิดตลอดทั้งโครงการ ประกอบกับมีผู้สนับสนุนแนวคิดว่าสามารถหลีกเลี่ยงการบังคับใช้กฎหมายของประเทศไทยได้ จึงทำให้เกิดปัญหาเรื้อรังมาจนถึงปัจจุบัน

“ยังไม่อยากไปกล่าวหาว่าเป็นความผิดของใคร ทุกอย่างถูกบรรจุในสำนวนการสอบสวนไปเรียบร้อยแล้วว่าอะไรบ้างที่ออกโดยมิชอบออกโดยผิดกฎหมาย อะไรบ้างที่ออกโดยละเลย ไม่ปฏิบัติตามหน้าที่รับผิดชอบของส่วนราชการที่เป็นเจ้าของกฎหมาย ทำให้เกิดการละเมิดฝ่าฝืนเกิดขึ้นเป็นปัญหาเรื้อรังที่เกาะสมุยมีมานานนับ 10 ปี แต่เมื่อมีความร่วมมือกันบูรณาการทำงาน เชื่อว่าปัญหาจะได้รับการแก้ไข และพัฒนาไปสู่ความยั่งยืน” รองแม่ทัพภาค 4 กล่าว

สำหรับข้อมูลรายงานการสืบสวนคนต่างชาติทำงานโดยผิดกฎหมายของตรวจคนเข้าเมือง จ.สุราษฎร์ธานี ที่ส่งมอบให้คณะทำงาน สมุยโมเดล เป็นการสืบสวนจากการเข้าตรวจสอบโครงการก่อสร้างวิลล่าแห่งหนึ่ง บนเขาเฉวงน้อย พื้นที่หมู่ 3 ต.บ่อผุด ที่พบว่านิติบุคคลที่ขออนุญาตก่อสร้างเป็นชื่อนักธุรกิจชาวจีน แต่ไม่พบประวัติการประกอบธุรกิจในประเทศไทย ซึ่งจากการสืบสวนของ ตม.สุราษฎร์ธานี พบว่า นิติบุคคลดังกล่าว มีคนต่างชาติสัญชาติจีนเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องในฐานะผู้ถือหุ้น, ในฐานะกรรมการ รวมถึงการบริหารงานเกี่ยวกับกิจการโรงแรม รีสอร์ท ห้องชุด ซื้อ ขายและดำเนินการเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ จำนวน 4 คน มีคนไทย 2 คน โดย 2 ในกรรมการบริษัท มีสถานะเป็นสามีภรรยา ขออนุญาตอยู่ในประเทศไทย กรณีใช้ชีวิตบั้นปลาย แต่ในการสืบสวนพบว่าทั้งคู่ทำหน้าที่เป็นผู้ติดต่อจองห้องพักและเป็นผู้จัดการวิลล่า รับโอนเงินค่าบริการจากลูกค้าให้เข้าบัญชีของตนเอง แต่ไม่พบการยื่นขอใบอนุญาตทำงานแต่อย่างใด

ขณะที่ พ.ต.อ.นฤวัต พุทธวิโร ผกก.ตม.จว.สุราษฎร์ธานี เปิดเผยว่า สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง โดย พล.ต.ท.อิทธิพล อิทธิสารรณชัย ผบช.สตม. มีนโยบายสำคัญให้ตรวจคนเข้าเมืองในสังกัด สกัดกั้น ตรวจสอบ ระดมจับกุม คนต่างด้าวที่เข้ามาประกอบธุรกิจผิดกฎหมายในประเทศไทย โดยเฉพาะกลุ่มที่เข้ามาประกอบธุรกิจในลักษณะนอมินี รวมทั้งให้ดำเนินการตรวจสอบชาวต่างชาติที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสมในขณะที่พำนักอาศัยอยู่ในประเทศไทย กระทำผิดกฎหมาย ก่อเหตุอันตรายต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศ หรือ กลุ่มคนร้ายข้ามชาติที่เข้ามาแฝงตัวอยู่ก่อเหตุ หรือโดยใช้ประเทศไทยเป็นฐานในการกระทำความผิด

ที่ผ่านมา ตม.สุราษฎร์ธานี ซึ่งมีพื้นที่ท่องเที่ยวที่สำคัญ ทั้งที่ เกาะสมุย เกาะพะงัน และเกาะเต่า ได้ดำเนินการกวดขันและจับกุมมาโดยตลอด เมื่อกองทัพภาคที่ 4 โดย กอ.รมน.ภาค 4 ดำเนินการตรวจสอบเพื่อแก้ไขปัญหาการก่อสร้างพื้นที่ลาดชันสูง และการประกอบธุรกิจของชาวต่างด้าวในพื้นที่ อ.เกาะสมุย เราจึงพร้อมที่จะประสานข้อมูลและดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้เป็นไปตามนโยบาย.