วันที่ 6 ก.ย. ที่โรงแรม HYATT CENTRIC กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น นายคงกระพัน อินทรแจ้ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT ได้เน้นย้ำทิศทางและนโยบายการสร้างความแข็งแรงและเติบโต ควบคู่ไปกับสังคมไทยที่แข็งแรงอย่างยั่งยืน ว่า ปตท. กำลังศึกษาโครงการลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ ตามนโยบายลดคาร์บอนเป็นศูนย์ของประเทศไทยในปี 2065 แต่ ปตท. จะทำให้ถึงเป้าหมายภายในปี 2050 (ปี พ.ศ. 2593)

คงกระพัน อินทรแจ้ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.ปตท.

ขณะนี้มีความคืบหน้าค่อนข้างมาก และนำลงไปสู่ภาคปฏิบัติในบางส่วนแล้ว เช่น ในส่วนของ ปตท.สผ. มีการนำคาร์บอนไดออกไซด์ที่ได้มาจากขบวนการขุดเจาะก๊าซขึ้นมาจากหลุมผลิต อัดกลับไปในหลุมก๊าซเดิม หรือหลุมที่เตรียมไว้สำหรับจัดเก็บด้วย ทั้งนี้การจัดเก็บต้องพิจารณาถึงโครงสร้างทางธรณีวิทยาด้วย

ในเบื้องต้นต้องมีการหารือกับหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องก่อน เพื่อปรับปรุงและแก้ไขกฎหมายและกฏระเบียบ ที่เป็นอุปสรรคต่อการลงทุน เพื่อความคล่องตัวในการลงทุนในอนาคต จึงยังไม่สามารถบอกได้อย่างชัดเจนว่าแผนจะเสร็จเมื่อไร และต้องใช้เงินลงทุนเป็นจำนวนเท่าไร ตอบได้เพียงว่า ปตท. จะเป็นหัวหอกการลงทุนโครงการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในอนาคต ส่วนแผนการนำคาร์บอนฯ ที่ได้ไปใช้ในเชิงพาณิชย์ คงเป็นแผนที่ต้องศึกษากันต่อไป

ด้าน นายฉัตรชัย พรหมเลิศ ประธานกรรมการ บมจ.ปตท. กล่าวภาพรวมการดำเนินงาน ปตท. ระบุว่า ปตท. ภายใต้วิสัยทัศน์ “ปตท. แข็งแรงร่วมกับสังคมไทยและเติบโตในระดับโลกอย่างยั่งยืน” หรือ “TOGETHER FOR SUSTAINABLE THAILAND, SUSTAINABLE WORLD” ดำเนินธุรกิจบนหลัก “ความยั่งยืนอย่างสมดุล” ให้เหมาะกับบริบทองค์กรทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม และการกำกับดูแลกิจการที่ดี เพื่อให้ ปตท. เป็นบริษัทพลังงานแห่งชาติที่สร้างประโยชน์ให้กับประเทศไทยและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกกลุ่มอย่างสมดุล บริหารองค์กรด้วยความโปร่งใส มีการกำกับดูแลที่ดีมีธรรมาภิบาล

ฉัตรชัย พรหมเลิศ ประธานกรรมการ บมจ.ปตท.

-เร่งสร้างความแข็งแรงและเพิ่มศักยภาพในการแข่งขันในธุรกิจ Hydrocarbon ที่เป็น Core Business ของ ปตท. ที่ ปตท. ทำได้ดี แต่จะทำแบบเดิมไม่ได้ ต้องทำควบคู่กับการลดก๊าซเรือนกระจก และต้องปรับตัวพร้อมรับสภาวะแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว

  • ธุรกิจ Upstream and Power จะต้องเร่งขยายแหล่งสำรวจและผลิต ร่วมกับ Partner มีต้นทุนที่แข่งขันได้ รวมถึงการผลักดันการพัฒนาพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลระหว่างไทยและกัมพูชา (OCA) เพื่อช่วยเสริมสร้างความมั่นคงทางพลังงานของประเทศ ในส่วนของธุรกิจผลิตกระแสไฟฟ้ามี Mandate ให้เสริมสร้าง Reliability และ Decarbonize ให้กับกลุ่ม ปตท.
  • ธุรกิจ Downstream จะต้องปรับตัว และสร้างความแข็งแรงร่วมกับ Partner แสวงหาโอกาสในการสร้าง Synergy ร่วมกันเพิ่มเติม ทั้งนี้ธุรกิจน้ำมันและการค้าปลีกนั้นจะต้องมุ่งหน้าเป็น Mobility Partner ของคนไทย ปรับพอร์ตการลงทุนให้มี Substance และ Asset Light รวมถึงการรักษาการเป็นผู้นำตลาด

-ควบคู่กับการดำเนินธุรกิจ Non-Hydrocarbon โดยจะประเมินธุรกิจนี้ใน 2 มุมคือ 1) ธุรกิจต้องมีความน่าสนใจ (Attractive) และ 2) ปตท. มี Right to Play หรือมีจุดแข็ง สามารถเข้าไปต่อยอดในธุรกิจนั้นๆ ได้ และมี Partner ที่แข็งแรง ซึ่งมีแนวทางการลงทุนในธุรกิจ Non-Hydrocarbon ดังนี้

  • ธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับ EV ปตท. จะมุ่งเน้นไปที่ธุรกิจบรรจุกระแสไฟฟ้าสำหรับยานยนต์ไฟฟ้า ซึ่งจะต้องมีการควบรวมแบรนด์ต่างๆ ภายใต้กลุ่ม ปตท. และใช้ OR Ecosystem ที่มี Touch Point อยู่ทั่วประเทศให้เป็นประโยชน์
  • ธุรกิจ Logistics ปตท. จะเน้นไปเฉพาะธุรกิจที่มีความเกี่ยวเนื่องกับ Core Business ของ ปตท. และมี Captive Demand อยู่แล้ว โดยยึดหลัก Asset-light และมี Partner ที่แข็งแรง
  • ธุรกิจ Life Science ปตท. จะต้องสามารถพึ่งพาตัวเองได้ทางการเงิน (Self-funding) และสร้าง Goodwill ให้กับสังคม

ทั้งนี้ ปตท. มีแผนการสร้างสมดุล ESG ให้เหมาะสมกับบริบทองค์กร ควบคู่กับการลดก๊าซเรือนกระจก เพื่อบรรลุเป้าหมาย Net Zero ผ่านการผลักดันธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับไฮโดรเจน และการดำเนินโครงการดักจับและกักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (Carbon Capture Storage : CCS) โดยทำงานแบบบูรณาการร่วมกันทั้งกลุ่ม ปตท. โดยต้องกำหนดบทบาทหน้าที่ชัดเจน และมีเป้าหมายร่วมกันเพื่อใช้จุดแข็งของแต่ละบริษัท ในกลุ่มให้เกิดประโยชน์สูงสุด โดยมี ปตท. ดูภาพรวม

นอกจากนี้ ปตท. ให้ความสำคัญเรื่อง Operational Excellence หรือ OpEx อย่างต่อเนื่อง เพื่อยกระดับความสามารถในการแข่งขัน และเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานทั้งกลุ่ม อีกทั้งมุ่งเน้นเสริมศักยภาพบุคลากรและการมุ่งรักษาพื้นฐานที่สำคัญ มุ่งเน้นธรรมาภิบาล และการกำกับกิจการที่ดี และการมีความเป็นเลิศทางด้านการเงิน (Financial Excellence) ที่เป็นพื้นฐานสำคัญของการประกอบธุรกิจ

ปตท. ยังคงยึดมั่นพันธกิจในการสร้างความมั่นคงและเสถียรภาพทางพลังงานให้แก่ประเทศ แสดงให้เห็นถึงศักยภาพ ขับเคลื่อนธุรกิจให้เติบโตอย่างต่อเนื่อง บนหลัก “ความยั่งยืนอย่างสมดุล” ทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม รวมถึงการกำกับดูแลกิจการที่ดี

  • การจัดอันดับให้เป็นบริษัทอันดับ 1 ของประเทศไทย และอันดับที่ 2 ในภูมิภาคอาเซียน จากนิตยสารฟอร์จูน เซาท์อีสต์เอเชีย 500 (Fortune Southeast Asia 500)
  • 4 รางวัลดีเด่นในระดับภูมิภาคอาเซียน จาก 14th Institutional Investor Corporate Awards 2024
  • การรับรองเป็นสมาชิกแนวร่วมต่อต้านคอร์รัปชั่นของภาคเอกชนไทย (CAC) 4 สมัยต่อเนื่อง
  • กลุ่ม ปตท. ยังมีส่วนร่วมขับเคลื่อนนโยบาย Soft Power ของประเทศ โดยให้การสนับสนุนสมาคมกีฬาจำนวน 20 สมาคม ภายใต้งบประมาณ 200 ล้านบาท ส่งเสริมศักยภาพคนไทยสู่สากล
  • ตลอดจนดำเนินโครงการเพื่อสังคมและกิจกรรม เพื่อน้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณในปีมหามงคลนี้ ได้แก่ โครงการพัฒนาพื้นที่กำแพงเพชร 6 ริมคลองเปรมประชากร จัดสร้างเป็นสวนสาธารณะ จำนวน 10 ไร่ เปิดให้ประชาชนได้ใช้ประโยชน์ในการออกกำลังกาย พักผ่อนหย่อนใจ การผลิตหนังสั้นเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว นำเสนอโครงการตามพระบรมราโชบายพัฒนาแหล่งน้ำ เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีของประชาชน จำนวน 2 เรื่อง โดยมีแผนเผยแพร่อีก 5 เรื่องภายในปีนี้ พร้อมทั้งจัดกิจกรรมแสดงแสง สี เสียง ลำนำนที วารีสมโภช ณ สวนสันติชัยปราการ
  • กิจกรรมปลูกป่า 72,000 ไร่ ซึ่งคาดว่าจะสามารถดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์ 68,400 ตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อปี
  • โครงการพัฒนาคุณภาพชีวิตชุมชนอย่างยั่งยืนโดยพัฒนาการปลูกและการผลิตกาแฟระบบอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ โครงการหลวงเลอตอ อ.แม่ระมาด จ.ตาก ที่จะช่วยพัฒนาคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ของชาวไทยภูเขา