สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงมอสโก ประเทศรัสเซีย เมื่อวันที่ 6 ก.ย. ว่า ประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ผู้นำรัสเซีย กล่าวระหว่างการประชุมเศรษฐกิจตะวันออก (อีอีเอฟ) ที่เมืองวลาดิวอสตอค ถึงการที่กองทัพยูเครนโจมตีภูมิภาคเคิร์สก์ ทางตะวันตกของรัสเซีย เมื่อต้นเดือน ส.ค. ที่ผ่านมา ว่าเป้าหมายของฝ่ายศัตรู คือเพื่อต้องการสร้างความหวาดกลัว ความเร่งรีบ และเพื่อทำลายความได้เปรียบของรัสเซียที่สมรภูมิสำคัญ โดยเฉพาะภูมิภาคดอนบาส “ซึ่งเป็นเป้าหมายหลักของรัสเซีย” ที่ต้องการปลดปล่อยดินแดนดังกล่าวออกจากยูเครน

อย่างไรก็ตาม การที่ยูเครนส่ง “หน่วยรบที่ค่อนข้างมีประสิทธิภาพ” เข้ามาปฏิบัติการในภูมิภาคเคิร์สก์ ปูตินกล่าวว่า เท่ากับเป็น “การเปิดช่องโหว่” ในภูมิภาคดอนบาส และ “สร้างโอกาส” ให้รัสเซียสามารถรุกคืบพื้นที่ได้เร็วขึ้น พร้อมทั้งยืนยันว่า กองทัพรัสเซียสามารถ “ควบคุมสถานการณ์” ในภูมิภาคเคิร์สก์ได้แล้ว


ข้อมูลจากสถาบันการศึกษาสงคราม (ไอเอสดับเบิลยู) ซึ่งเป็นหนึ่งในองค์กรอิสระทางวิชาการของสหรัฐ ระบุว่า กองทัพรัสเซียสามารถรุกคืบดินแดนในยูเครนได้ 477 ตารางกิโลเมตร เฉพาะเมื่อเดือน ส.ค. ที่ผ่านมา เป็นสถิติรายเดือนสูงที่สุด นับตั้งแต่เดือน ต.ค. 2565


ทั้งนี้ สถิติดังกล่าวคิดเป็นการรุกคืบของกองทัพรัสเซียในยูเครน โดยเฉลี่ยวันละ 15 กิโลเมตร และส่วนใหญ่เกิดขึ้นในภูมิภาคดอนบาส ทางตะวันออกของยูเครน


ขณะที่นับตั้งแต่ต้นปีนี้ กองทัพรัสเซียยึดครองพื้นที่ในยูเครนได้เพิ่มอีก 1,730 ตารางกิโลเมตร เพิ่มขึ้นสามเท่า เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2566 และกองทัพรัสเซียยึดครองดินแดนในยูเครนได้แล้ว 66,266 ตารางกิโลเมตร นับตั้งแต่สงครามปะทุเมื่อวันที่ 24 ก.พ. 2565 จนถึงวันที่ 1 ก.ย. ที่ผ่านมา


ด้านกองทัพยูเครนซึ่งเปิดฉากปฏิบัติการโจมตีข้ามพรมแดน ที่ภูมิภาคเคิร์สก์ ทางตะวันตกของรัสเซีย เมื่อวันที่ 6 ส.ค. ที่ผ่านมา จนถึงตอนนี้ สามารถยึดครองพื้นที่ได้ระหว่าง 1,150-1,300 ตารางกิโลเมตร.

เครดิตภาพ : AFP