หลังจากประเทศเพื่อนบ้านรอบ ๆ ตัวของไทย ไม่ว่าจะเป็น เวียดนาม มาเลเซีย อินโดนีเซีย กำลังประเคนสารพัดสิทธิประโยชน์ล่อใจเม็ดเงินลงทุนจากทั่วโลกเข้ามาลงทุนเช่นกันเป็นเหตุผลสำคัญของรัฐบาลใหม่ที่รอช้าไม่ได้ในการเร่งดึงดูดการลงทุนจากทั่วโลก
“จุฬา สุขมานพ” เลขาธิการคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) ได้ให้สัมภาษณ์พิเศษกับ “เดลินิวส์” ว่า ปีหน้าจะได้เห็นการลงทุนในพื้นที่อีอีซีคึกคักมากขึ้น เนื่องจากเป็นปีที่ออกดอกจากการลงทุน หลังจากได้หว่านเมล็ดพันธุ์มาระยะหนึ่งแล้ว จะเป็นพลังสำคัญในการระเบิดเศรษฐกิจมีการลงทุนในปี 68 ไม่ต่ำกว่าแสนล้านบาท เป็นไปตามเป้าหมายของอีอีซีที่ตั้งไว้ช่วยสร้างมูลค่าการขับเคลื่อนลงทุนทางเศรษฐกิจนับจากปีหน้าไม่ต่ำกว่า 1.2 ล้านล้านบาท แบ่งเป็น การลงทุนของนักลงทุนที่ติดต่อ
เข้ามาอีอีซีโดยตรงรอการลงทุนแล้วประมาณ 20 ราย วงเงินรวมประมาณ 200,000 ล้านบาท ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มอุตสาหกรรมบีซีจี (เศรษฐกิจชีวภาพเศรษฐกิจหมุนเวียน เศรษฐกิจสีเขียว) ซึ่งเป็นไปตามทิศทางของโลก เช่น อุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับไฟฟ้าสะอาด ดาต้าเซ็นเตอร์ โรงงานรีไซเคิลแบตเตอรี่อีวี เฉลี่ยลงทุนแต่ละโรงงานประมาณ 10,000-20,000 ล้านบาท
รัฐไม่เสียประโยชน์
นอกจากนี้ ยังมีเงินลงทุนจากโครงสร้างพื้นฐานวงเงินประมาณ 200,000 ล้านบาท เช่น โครงการก่อสร้างรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน (สุวรรณภูมิ-ดอนเมือง-อู่ตะเภา) หลังจากการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ได้ข้อสรุปกับบริษัท เอเชียเอราวัน ผู้ได้รับสัมปทานในการแก้ไขสัญญาซึ่ งเป็นข้อสรุปที่รัฐไม่เสียประโยชน์และเอกชนไม่ได้ประโยชน์เกินควร โดยเอกชนตกลงวางหลักประกันหรือแบงก์การันตีเต็มจำนวนค่าก่อสร้าง 119,000 ล้านบาท ถ้าขั้นตอนทุกอย่างจบคาดว่า จะลงนามในสัญญาร่วมกันภายในปี 67 และเริ่มก่อสร้างได้ต้นปี 68
“การเจรจาที่เกิดขึ้นมีข้อสรุปที่สามารถตอบคําถามกับประชาชนตอบคําถามกับสังคมได้เรื่องเงินเป็นเรื่องที่เขาต้องหามาเป็นข้อตกลงในสัญญาถ้าทุกอย่างเป็นไปตามเงื่อนไขสรุปจบและเสนอคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (กพอ.) และที่ประชุม ครม. อนุมัติตามขั้นตอน ประเด็นต่อไปเราจะให้เขาเริ่มก่อสร้างให้เร็วสุดเพื่อให้โครงสร้างพื้นฐานเกิดขึ้นเร็วที่สุด เพราะมันเชื่อมกับเมืองการบินภาคตะวันออก เป็นจิ๊กซอว์ที่ต่อกันให้สมบูรณ์”
ส่วนความคืบหน้าโครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินภาคตะวันออกคาดว่า จะเริ่มก่อสร้างตั้งแต่ปี 68 โครงการนี้รับผิดชอบโดยทหารเรือเป็นเจ้าของโครงการ และบริษัทอู่ตะเภา อินเตอร์เนชั่นแนลเอวิเอชั่น จำกัด จะเริ่มโครงการก่อสร้างเทอร์มินัลใหม่สนามบินอู่ตะเภา
ที่มาเม็ดเงิน 1.2 ล้านล้านสะพัด
“ที่อีอีซีมองว่านับจากนี้จะมีเม็ดเงินการลงทุนสะพัดมากกว่า 1.2 ล้านล้านบาท เราประเมินจากมูลค่าการลงทุนในส่วนของนักลงทุนภาคอุตสาหกรรมเบื้องต้น 200,000 ล้านบาท จะมีเม็ดเงินหมุนเวียนเศรษฐกิจไม่ต่ำกว่า 3 รอบ หรือประมาณ 600,000 ล้านบาท รวมกับการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานไม่ต่ำกว่า 200,000 ล้านบาท คาดว่าหมุนอีก 3 รอบ 600,000 ล้านบาทเช่นกัน เช่น การจ้างงาน การก่อสร้าง ลงทุนต่าง ๆ โดยจะเน้นใช้ชิ้นส่วนในประเทศเป็นหลักตามสิทธิประโยชน์การจับจ่ายใช้สอยในพื้นที่อย่างต่อเนื่อง ทำให้เชื่อว่าจะมีเม็ดเงินสะพัดในระบบเศรษฐกิจไม่ต่ำกว่า 1.2 ล้านล้านบาท เป็นตัวจุดระเบิดให้กับเศรษฐกิจไทย ส่วนเรื่องการลงทุนเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ ในส่วนของกาสิโนมีการติดต่อเข้ามาลงทุนในพื้นที่หรือไม่นั้น เรื่องนี้ปัจจุบันยังติดปัญหาเรื่องกฎหมายต้องรอให้ถูกกฎหมายก่อน ถึงจะดูความชัดเจนได้ แต่ตอนนี้ในเมืองการบินทางผู้ได้รับสัมปทานก็มีแผนการทำสปอร์ตคอมเพล็กซ์”
ชงข้อเสนอรัฐบาลใหม่
ส่วนประเด็นที่เตรียมเสนอรัฐบาลใหม่นั้นอีอีซีเตรียมเสนอเขตส่งเสริมเศรษฐกิจพิเศษอีก 2 แห่ง รวมกับปัจจุบันเป็น 37 แห่ง คือการ จัดตั้งเขตส่งเสริมเศรษฐกิจพิเศษศูนย์ธุรกิจอีอีซีและเมืองใหม่น่าอยู่อัจฉริยะ โดยประกาศเป็นเขตส่งเสริมเศรษฐกิจพิเศษประเภทเพื่อกิจการพิเศษบนพื้นที่พัฒนาระยะที่ 1 ประมาณ 5,795 ไร่ จากพื้นที่ทั้งหมดประมาณ 14,619 ไร่ ใน ต.ห้วยใหญ่ อ.บางละมุง จ.ชลบุรี มูลค่าการลงทุน 534,985 ล้านบาท ผลักดันให้เกิดลงทุนในอุตสาหกรรมเป้าหมายพิเศษและกิจกรรมที่เกี่ยวเนื่องได้แก่ การแพทย์ และสุขภาพครบวงจร การพัฒนาบุคลากรและการศึกษาดิจิทัล การบินและโลจิสติกส์การแปรรูปอาหาร การท่องเที่ยวกลุ่มรายได้ดีและเชิงสุขภาพศูนย์สำนักงานใหญ่ภูมิภาคและศูนย์ราชการสำคัญ ศูนย์บริการทางการเงิน ศูนย์ธุรกิจเฉพาะด้าน และบริการอื่น ๆ กิจการพาณิชยกรรมและที่อยู่อาศัยมีแนวคิดการพัฒนาที่มุ่งเน้นการสร้างระบบนิเวศทางธุรกิจที่ผสมผสานระหว่างธรรมชาติ วิถีชีวิต นวัตกรรมและการออกแบบที่เน้นความยั่งยืนคำนึงถึงสิ่งแวดล้อมเข้ากับเทคโนโลยีที่ทันสมัยและสอดคล้องกับอนาคต
รวมถึงจัดตั้งเขตส่งเสริมเศรษฐกิจพิเศษนิคมอุตสาหกรรม เอเพ็กซ์กรีน อินดัสเตรียล เอสเตท พื้นที่โครงการประมาณ 2,191.49 ไร่ ใน ต.หัวสำโรง อ.แปลงยาว จ.ฉะเชิงเทรา รองรับอุตสาหกรรมเป้าหมายพิเศษยานยนต์สมัยใหม่ อิเล็กทรอกนิกส์อัจฉริยะดิจิทัล การเกษตรและเทคโนโลยีชีวภาพและการแปรรูปอาหาร โดย ประโยชน์ที่ได้รับ สร้างการลงทุนรวมประมาณ 64,511 ล้านบาท เพิ่มการจ้างงานในพื้นที่ 16,000 คน ขณะเดียวกันเตรียมเสนอสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ เพิ่มเติมในการลงทุนเพิ่มที่อีอีซีซึ่งเป็นเรื่องเครื่องมือสำคัญในการดึงดูดลงทุนในอุตสาหกรรมเป้าหมายพิเศษและข้อสรุปรถไฟความเร็วสูงที่ รฟท.ได้เจรจากับบริษัทเอเชียเอรา วัน ผู้ได้รับสัมปทาน
“ถ้าทุกเรื่องผ่านมติ ครม.เชื่อว่านักลงทุนจะทยอยเข้ามาลงทุนในพื้นที่อีอีซีเพิ่มขึ้นอีกจำนวนมากเพราะตอนนี้นักลงทุนรอทั้งเรื่องสิทธิประโยชน์ความชัดเจนการก่อสร้างพื้นฐานต่าง ๆ ถ้าทุกอย่างชัด เชื่อว่าจะเกิดการลงทุนที่คึกคักอย่างแน่นอน เมื่อเกิดการลงทุนจะไม่คึกคักเฉพาะในพื้นที่อีอีซีเท่านั้นรอบ ๆ พื้นที่จะคึกคักด้วยเช่นกัน เส้นทางต่าง ๆ ของรถไฟความเร็วสูงก็จะคึกคักด้วย”.