เมื่อวันที่ 4 ก.ย.นายไพศาล พืชมงคล นักกฎหมาย ได้โพสต์ข้อความระบุว่า ป.ป.ช.ก็อาจจะติดคุกทั้งคณะได้

นายวีระ สมความคิดได้ฟ้องคณะกรรมการป.ป.ชหลายกระทงคือ

1.โจทก์ขอให้ป.ป.ช.เปิดเผย รายงานการตรวจสอบ ไต่สวน การถือครองทรัพย์สินของพลเอกประวิตรวงษ์สุวรรณ ตามกฎหมายข้อมูลข่าวสาร แต่ป.ป.ช.ไม่เปิดเผย เป็นการไม่ปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมาย จึงฟ้องเป็นความผิดกระทงที่ 1

2 .ศาลปกครองกลางมีคำพิพากษา ให้ป.ป.ช.เปิดเผยรายงาน การตรวจสอบไต่สวน ตามคำสั่งของคณะกรรมการข้อมูลข่าวสาร แต่ป.ป.ชไม่ปฏิบัติ จึงเป็นการ ละเว้นไม่ปฏิบัติหน้าที่เป็นกระทงที่ 2

3. ป.ป.ช.ไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษาของศาลปกครองกลางและได้อุทธรณ์ฎีกา จนศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษาถึงที่สุด ให้ป.ป.ช.เปิดเผยข้อมูลข่าวสารตามคำสั่งคณะกรรมการข้อมูลข่าวสาร เป็นการทำความผิด เป็นกระทงที่ 3

4 .ศาลปกครองสูงสุดมีคำพิพากษา ให้ป.ป.ช.เปิดเผยข้อมูลข่าวสารแล้ว ก็ยังไม่ปฏิบัติ เป็นการท้าทายอำนาจศาล เป็นการ ทำความผิดเป็นกระทงที่ 4

5. ป.ป.ช ไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุดที่ให้ส่งรายงานการตรวจสอบทรัพย์สินของพลเอกประวิตร ป.ป.ชได้ส่งบางส่วนนายวีระอ้างว่าส่งไม่ครบป.ป.ช.ว่าครบแล้วศาลปกครองกลางสั่งให้ส่งให้ครบตามคำพิพากษา ปปช.อุทธรณ์และฎีกาเป็นศาลที่ 6ในที่สุดศาลปกครองสูงสุดก็มีคำสั่งให้ปปช.ส่งเอกสารให้ครบตามคำพิพากษา ของศาลปกครองสูงสุด ดังนั้นเรื่องนี้จึงเป็นที่ยุติแล้วปปช. ไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของศาลปกครองสูงสุด เป็นการทำความผิดเป็นกะทงที่5

6.เมื่อป.ป.ชไม่ปฏิบัติ ตามคำพิพากษาของศาล นายวีระจึงขอให้ศาลปกครองออกหมายบังคับให้ปฏิบัติ ศาลปกครองกลางจึงออกคำบังคับ ให้ปปช.ปฏิบัติตามคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุด แต่ป.ป.ชก็ไม่ปฏิบัติ จึงถือว่าเป็นการทำผิดกฎหมายเป็นกระทงที่ 6

7 .ครบกำหนดตามคำบังคับของศาลปกครองแล้ว ปปช.ก็ไม่ปฏิบัติ ถือว่าเป็นการทำผิด กฎหมายเป็นกระทงที่ 7 นายวีระจึงขอให้ศาล มีคำสั่งบังคับคดีตามคำบังคับ ปปช.ก็ยังไม่ปฏิบัติตามคำบังคับของศาลปกครอง ถือเป็นการกระทำผิดกฎหมายเป็นกระทงที่ 8 ในที่สุดศาลปกครองจึงมีคำสั่งปรับป.ป.ช เป็นเงินรวม 10,000 บาท ซึ่งปปช.ได้นำเงินไปชำระค่าปรับแล้ว

ถือว่าเป็นการยอมรับผิดและยอมปฏิบัติในเรื่องค่าปรับตามคำสั่งบังคับคดีของศาลปกครองแล้ว

8.แต่ป.ป.ช.ก็ยังไม่ปฏิบัติตามคำบังคับของศาล ดังนั้นนายวีระจึงร้องขอให้ศาลออกหมายเรียกป.ป.ช.มาขัง ไว้จนกว่าจะยอมปฏิบัติตามคำบังคับ ศาลปกครองทำการไต่สวนคำร้อง นายวีระจึงฟ้องเป็นกระทงที่ 9

ความผิดทั้ง 9 กระทงนี้ มีสำนวนคดีของศาลปกครองเป็นหลักฐาน มีคำพิพากษาคำบังคับและการชำระค่าปรับที่ไม่ปฏิบัติตามคำบังคับเป็นหลักฐาน เป็นข้อเท็จจริงที่ผูกพันคู่ความคือป.ป.ชกับนายวีระ ซึ่ง เป็นคู่ความเดียวกัน นายวีระเห็นว่า ปปช.ไม่สามารถชี้แจงหักล้างเรื่องนี้ได้

คำคัดค้านของป.ป.ช. ในชั้นพิจารณารับฟ้องของนายวีระได้อ้างแต่เพียงว่า มีความเชื่อโดยสุจริตว่าได้ส่งเอกสารให้แก่นายวีระตามคำพิพากษาแล้ว ความเชื่อโดยสุจริตนั้น น่าจะฟังไม่ขึ้น และไม่เป็นเหตุทำให้ป.ป.ช.พ้นผิดได้เพราะข้อเท็จจริงที่ผูกพันป.ป.ช.แล้วก็คือ การไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสุด จนต้องมีการออกคำบังคับแล้วก็ไม่ปฏิบัติอีกจนต้องมีการขอให้บังคับคดีจนศาลปกครองต้องมีคำสั่งปรับและมีการชำระค่าปรับเป็นการยอมรับผิดในส่วนการบังคับคดีไปแล้วคงเหลือความรับผิดทางอาญานายวีระจึงนำคดีไปฟ้อง

ดังนั้นคดีนี้ เมื่อข้อเท็จจริงของคดี มีหลักฐานอยู่ในสำนวนคดีความของศาลปกครองทั้งหมดแล้ว และข้อเท็จจริงก็เป็นยุติแล้ว เพราะมีคำพิพากษาถึงที่สุด ระหว่างคู่ความเดียวกัน ข้อเท็จจริงนั้นจึงผูกพันโจทก์จำเลยในคดีนี้ด้วย

ดังนั้นจึงน่าห่วงว่า ถ้าศาลอาญาทุจริตรับฟ้อง ป.ป.ช.ก็มีโอกาสติดคุกทั้งคณะก็ได้