เมื่อเวลา 09.30 น. วันที่ 3 ก.ย. ที่ทำเนียบรัฐบาล นายวราวุธ ศิลปอาชา รมว.การพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ให้สัมภาษณ์ก่อนการประชุมคณะรัฐมนตรี ถึงการเสนอนโยบายต่อรัฐบาลใหม่ในฐานะพรรคร่วมรัฐบาลว่า สิ่งที่สำคัญที่สุดที่มีการพูดคุยกันตอนหาเสียง คือการร่างรัฐธรรมนูญใหม่ ซึ่งแนวทางนี้ไม่ว่าจะเป็นการมีสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) หรือกลไกการร่างรัฐธรรมนูญขึ้นมา รวมถึงการที่เราจะไม่แตะต้องหมวดหนึ่ง หมวดสอง ไม่ไปเกี่ยวข้องกับการแก้ไขกฎหมายกฎหมายอาญามาตรา 112 เป็นประเด็นที่พรรคชาติไทยพัฒนาให้ความสำคัญ และเป็นปัจจัยในการเข้าร่วมรัฐบาล

นอกจากนี้ ตลอดการทำงานตลอด 1 ปี ที่ผ่านมาในฐานะ รมว.พม. ได้เห็นปัญหาของพี่น้องกลุ่มเปราะบาง เด็กเยาวชน ผู้สูงอายุ คนพิการ มีความละเอียดอ่อนและซับซ้อนเพียงใด และเจ้าหน้าที่ของกระทรวงนั้น จำเป็นที่จะต้องได้รับการสนับสนุนทั้งเรื่องนโยบาย กฎหมายและงบประมาณเพียงใด ก็จะนำเรื่องนี้เข้าอยู่ในนโยบายของรัฐบาลต่อไปด้วย

เมื่อถามว่า วันนี้ในส่วนของ พม. มีการเสนอเรื่องอะไรเข้าสู่การพิจารณาใน ครม. หรือไม่ นายวราวุธ กล่าวว่า มีการเสนอเรื่องงบประมาณสนับสนุนเด็กแรกเกิด-6 ปี เดือนละ 600 บาท เนื่องจากเป็นประเด็นทุกๆ ปีในช่วงท้ายของปีงบประมาณ โดยเดือน ก.ย. ซึ่งเป็นเดือนสุดท้าย และเป็นช่วงที่งบฯ ไม่พอ ถามว่าทำไมสำนักงบประมาณถึงไม่ได้ให้งบประมาณมาอย่างเพียงพอ ก็เพราะว่าในแต่ละปี แต่ละเดือน ระดับจำนวนเด็กแรกเกิดจนถึง 6 ปี จะมีการแปลเปลี่ยนตลอด ทั้งจากการเสียชีวิต และการเกิดใหม่ สำนักงบฯ จึงไม่ได้ให้งบฯ มาในจำนวนที่พอดี แต่จะให้หย่อนเอาไว้ จึงต้องมีการอัปเดตข้อมูลเพื่อของบประมาณเพิ่มในช่วงท้ายปีงบฯ ดังนั้นวันนี้ก็จะมีการของบกลางเพิ่ม

เมื่อถามว่า มั่นใจหรือไม่ว่า งบฯ ปีนี้จะไม่ซ้ำรอยปัญหาเหมือนปี 2566 ที่เกิดการค้างจ่าย การจ่ายล่าช้า นายวราวุธ กล่าวว่า ไม่มีแน่นอน ปัญหาของปีที่แล้ว เกิดจากรอยต่อของรัฐบาล แต่ปีนี้เรารู้แล้วว่าเกิดปัญหาอย่างไร จึงได้กำชับเจ้าหน้าที่ในการดำเนินการเรื่องนี้ ไม่พลาดแน่นอน เพราะถ้าพลาดก็มีคนใดคนหนึ่งต้องรับผิดชอบ ซึ่งคนแรกก็คือรัฐมนตรีก่อนเลย ดังนั้น วันนี้ก็ให้คำยืนยันกับพี่น้องประชาชนที่มีลูกหลานและอายุตั้งแต่ศูนย์จนถึงหกปีนั้น ว่าเงินสนับสนุนรายเดือน จะไม่ดีเลย์หรือไม่ตกหล่นแน่นอน

เมื่อถามย้ำว่า การเปลี่ยนผ่านรัฐบาลใหม่จะไม่กระทบใช่หรือไม่ นายวราวุธ กล่าวว่า การเปลี่ยนผ่านไม่น่ามีปัญหา เพราะรัฐมนตรีนั้นเป็นแค่ส่วนหัว แต่ข้าราชการ และกลไกการทำงานยังเหมือนเดิม และวันนี้หากผ่าน ครม. ไปแล้ว ก็จะมีมติ ครม. รองรับเพื่อให้สำนักงบฯ นั้น ใช้งบกลางมาสนับสนุนในส่วนที่ขาดหายไปได้