เมื่อเวลา 06.30 น. วันที่ 3 ก.ย. พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รอง ผบช.ก. พร้อมด้วย พล.ต.ต.ประสงค์ เฉลิมพันธ์ ผบก.ปปป. พ.ต.อ.สิทธิพร กะสิ ผกก.2 บก.ปปป. นายจักรกฤษณ์ ตันเลิศ ผู้ช่วยเลขาธิการคณะกรรมการ ป.ป.ช. นายสุขสันต์ ประสาระเอ ผอ.สืบสวนและกิจการพิเศษ สนง.ป.ป.ช. นำกำลังร่วมเปิดปฏิบัติการทลายเครือข่าย “เจ้าหน้าที่รัฐเรียกรับส่วยรถบรรทุก” เข้าตรวจค้นเป้าหมาย 11 จุด ทั่วประเทศ ในพื้นที่ จ.พระนครศรีอยุธยา ชัยภูมิ เพชรบูรณ์ นครปฐม ชลบุรี เชียงใหม่ และกรุงเทพฯ

โดยสามารถจับกุมนายนพดล แสนงาย อายุ 57 ปี นายช่างเครื่องกลอาวุโส หัวหน้าสถานีตรวจสอบน้ำหนักอุบลราชธานีขาออก กรมทางหลวง และเป็นหัวหน้าชุดเฉพาะกิจ Spot check, นายอเนก คำโฉม อายุ 59 ปี นายช่างเครื่องกลชำนาญงาน หัวหน้าสถานีตรวจสอบน้ำหนักด่านขุนทดขาเข้านครราชสีมา และนายธงชัย เต็มฟอม หรือ บอย อายุ 38 ปี พลเรือนทำหน้าที่เป็นหน้าเสื่อ ตามหมายจับศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ ภาค 3 ในข้อหา “เป็นเจ้าพนักงานร่วมละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต, เป็นเจ้าพนักงานของรัฐร่วมกันปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ และสนับสนุนเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ” นอกจากนี้ยังได้เชิญนายประทิน โพธิ์ชัยรัตน์ อายุ 39 ปี เจ้าของบัญชีธนาคาร มารับทราบข้อกล่าวหาด้วยเช่นเดียวกัน

สืบเนื่องจากช่วงกลางปี 66 กลุ่มผู้ประกอบการได้ร้องเรียนตามหน่วยงานต่างๆ หลังถูกกลุ่มเจ้าหน้าที่กรมทางหลวง ร่วมกับพลเรือน เรียกเก็บส่วย รถเครน และรถบรรทุกน้ำหนักเกิน ทำให้ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกฯ ขณะนั้น สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งตรวจสอบแก้ไข พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก. จึงสั่งการให้ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ และ พล.ต.ต.ประสงค์ ประสานข้อมูลร่วมตำรวจ บก.ปอท. เจ้าหน้าที่ ป.ป.ช. และ ป.ป.ท. สืบสวนรวบรวมพยานหลักฐาน พบเจ้าหน้าที่กลุ่มดังกล่าว สังกัดสำนักควบคุมน้ำหนักยานพาหนะ (สคน.) กรมทางหลวง มีหน้าที่สืบสวนจับกุมรถบรรทุกน้ำหนักเกินที่วิ่งบนทางหลวง แต่กลับใช้อำนาจหน้าที่เรียกเก็บเงินส่วยรายเดือนจากผู้ประกอบการตั้งแต่หลักพันไปจนถึงหลักแสนบาท เพื่อแลกกับการไม่จับกุมดำเนินคดี โดยมีนายธงชัย ทำหน้าที่หน้าเสื่อเจรจาเรียกรับเงินแทน โอนเข้าบัญชีม้า หากผู้ประกอบการรายใดไม่ทำตามข้อเรียกร้อง ก็จะถูกกวดขันจับกุมอย่างหนักจนกระทบต่อกิจการ โดยทำเช่นนี้มานานหลายปี ที่ผ่านมามีผู้ประกอบการตกเป็นเหยื่อกว่า 30 ราย ทั้งรายเล็กรายใหญ่ในพื้นที่ภาคอีสาน ภาคกลาง และภาคเหนือตอนล่าง รวมเงินส่วยหมุนเวียนไม่ต่ำกว่า 3 ล้านบาทต่อเดือน ซึ่งทั้งหมดจะกระจายไปมากน้อย ตามตำแหน่งหน้าที่

ต่อมาเจ้าหน้าที่ได้พยานมาสอบปากคำกว่า 30 คน และได้ข้อมูลบัญชีธนาคารผู้รับส่วย, บัญชีม้า, บัญชีผู้จ่ายส่วย ภาพถ่ายกล้องวงจรปิด, ธนาคาร, กล้องโทรศัพท์มือถือของพยาน จึงขออำนาจศาลออกหมายจับ จนนำมาสู่การตามจับกุมตัวผู้ต้องหาทั้ง 3 ราย ได้ในพื้นที่ จ.ชัยภูมิ และ จ.เพชรบูรณ์ ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างนำตัวเข้าตรวจค้นห้องทำงานที่ ด่านบางประอิน และ ด่านวังน้อย จ.พระนครศรีอยุธยา.