เมื่อวันที่ 3 ก.ย. นางกัญชลี นาวิกภูมิ รองอธิบดีกรมควบคุมมลพิษ (คพ.) และโฆษก คพ. กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเปิดเผยว่า บริษัท วิน โพรเสส จำกัด มีการลักลอบเก็บของเสียเคมีวัตถุไว้ในพื้นที่ของโรงงานเป็นจำนวนมาก ต่อเนื่องยาวนานมานับ 10 ปี โดยไม่ได้รับอนุญาต ต่อมาเมื่อปี พ.ศ. 2560 คพ. ได้รับเรื่องร้องเรียนปัญหามลพิษจากการประกอบกิจการของบริษัท ที่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อแหล่งน้ำสาธารณะและพื้นที่เกษตรกรรมของประชาชน จึงได้เข้าตรวจสอบคุณภาพสิ่งแวดล้อมบริเวณภายในโรงงาน และพื้นที่ใกล้เคียงโรงงาน พบว่า บ่อน้ำของโรงงานมีลักษณะเป็นน้ำเสีย โดยมีสภาพเป็นกรดและปนเปื้อนโลหะหนัก และยังตรวจพบการรั่วไหลรั่วซึมจากบ่อน้ำภายในโรงงานออกสู่ภายนอก ส่งผลให้น้ำผิวดินบริเวณใกล้เคียงโรงงานมีค่าความเป็นกรดสูง และปนเปื้อนโลหะหนัก และยังตรวจพบค่าสารอินทรีย์ระเหยง่ายบริเวณด้านข้างโรงงาน บ่งชี้ว่ามีของเสียจากโรงงานระบายออกสู่ภายนอก ก่อให้เกิดความเสียหายแก่แหล่งน้ำสาธารณะและพื้นที่เกษตรกรรมของประชาชน

นางกัญชลี กล่าวว่า คพ. ได้นำปัญหามลพิษกรณีโรงงานของบริษัทดังกล่าว เสนอต่อคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ เมื่อวันที่ 25 ม.ค. 2564 มีมติให้ คพ. พิจารณาดำเนินการ ตามมาตรา 96 และ 97 แห่ง พ.ร.บ.ส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. 2535 ในกรณีที่บริษัทฯ ไม่ดำเนินการชดใช้ค่าเสียหายตามที่กฎหมายกำหนด จะต้องฟ้องเรียกร้องค่าเสียหายจากบริษัทฯ คพ. จึงได้มีคำสั่งแต่งตั้งคณะทำงานรวบรวมพยานหลักฐานและค่าใช้จ่ายในการเรียกค่าสินไหมทดแทน โดยมีผู้แทนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ กรมโรงงานอุตสาหกรรม กรมวิชาการเกษตร กรมพัฒนาที่ดิน กรมประมง สำนักงานสิ่งแวดล้อมภาคที่ 13 (ชลบุรี) สำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัด (ทสจ.) ระยอง และองค์การบริหารส่วนตำบลบางบุตร และได้ทำการประเมินค่าเสียหาย ค่าขจัดมลพิษ และการฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมที่ได้รับผลกระทบจากการกระทำความผิดของบริษัท วิน โพรเสส จำกัด 

นางกัญชลี กล่าวว่า คพ. โดยพนักงานอัยการ สำนักงานอัยการ จ.ระยอง ได้ยื่นฟ้องบริษัท วินโพรเสส จำกัด กับพวกรวม 3 คน เมื่อวันที่ 30 พ.ย. 2565 เพื่อเรียกค่าเสียหายที่เกิดขึ้นต่อภาครัฐและการฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ตามมาตรา 96 และ 97 แห่ง พ.ร.บ.ส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. 2535 และเมื่อวันที่ 2 ก.ย. ที่ผ่านมา ศาลจังหวัดระยอง ได้มีคำพิพากษาให้จำเลยทั้งสามชดใช้ค่าเสียหายแก่ คพ. เป็นค่าใช้จ่ายในการฟื้นฟูสิ่งแวดล้อม พร้อมดอกเบี้ย และค่าทนายความ รวมเป็นเงินจำนวน 1,743,609,923.46 บาท ซึ่งคดีนี้ยังไม่ถึงที่สุด จำเลยมีสิทธิอุทธรณ์คำพิพากษาของศาลจังหวัดระยองได้ภายในกำหนด 1 เดือนนับแต่วันที่ได้อ่านคำพิพากษา หากคดีนี้ไม่มีการยื่นอุทธรณ์คำพิพากษาและคดีถึงที่สุดแล้ว คพ. จะประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ให้ดำเนินการบังคับคดี เพื่อนำเงินมาใช้ในการดำเนินการฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมตามคำพิพากษาของศาลต่อไป.