น.ส.วงศ์อะเคื้อ บุญศล โฆษกกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) ฝ่ายการเมือง เปิดเผยว่า ศูนย์ เอโอซี 1441 ได้ รายงานผลการดำเนินงานของ ศูนย์ฯ ตั้งแต่วันที่ 1 พ.ย. 66 – วันที่ 30 ส.ค. 67 มีตัวเลขสถิติ ดังนี้ มีสายโทรเข้า 1441 เจำนวน 982,937 สาย หรือ เฉลี่ยต่อวัน 3,233 สาย ระงับบัญชีธนาคารที่มีผู้แจ้งความ จำนวน 290,017 บัญชี หรือ เฉลี่ยต่อวัน 1,107 บัญชี โดยสามารถแบ่งการระงับบัญชีตามประเภทคดีสูงสุด 5 ประเภท ได้แก่ 1. หลอกลวงซื้อขายสินค้าหรือบริการ 86,256 บัญชี คิดเป็น 29.75 % 2. หลอกลวงหารายได้พิเศษ 70,597 บัญชี คิดเป็น 24.34% 3. หลอกลวงลงทุน 47,759 บัญชี คิดเป็น 16.47 % 4. หลอกลวงให้กู้เงิน 22,256 บัญชี คิดเป็น 7.67% และ 5. หลอกลวงให้โอนเงินเพื่อรับรางวัล 22,160 บัญชี คิดเป็น 7.64% และคดีอื่นๆ 40,989 บัญชี คิดเป็น 14.13 %
สำหรับในช่วงวันที่ 29 ส.ค. – 1 ก.ย. 67 ที่ผ่านมา ได้มีรายงานเคสตัวอย่างอาชญากรรมออนไลน์ที่ประชาชนได้รับผลกระทบจากการถูกหลอกลวง จำนวน 5 เคส ประกอบด้วย
คดีที่ 1 หลอกลวงให้รักแล้วโอนเงิน มูลค่าความเสียหาย 5,740,000 บาท ผู้เสียหายได้รู้จักกับมิจฉาชีพผ่านช่องทาง Facebook ได้พูดคุยกันผ่านทาง Messenger Facebook จนสนิทใจ แต่ไม่เคยพบเจอกัน อ้างตนว่ารับราชการเป็นทหารอยู่ที่ต่างประเทศ ถ้าเกษียณอายุราชการแล้วจะมาหาผู้เสียหายและใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันที่ประเทศไทย ต่อมาภายหลัง ขอความช่วยเหลือให้โอนเงินเป็นค่าเกษียณอายุราชการก่อนกำหนด ตนหลงเชื่อจึงโอนเงินไปช่วยเหลือ จากนั้นอีกไม่นานมีการขอให้ช่วยเหลือค่าธรรมเนียม ตรวจคนเข้าเมืองที่ต่างประเทศเพิ่ม แต่ตนไม่มีเงินจะโอนไปช่วยเหลือแล้ว จึงแจ้งกลับไป หลังจากนั้นไม่สามารถติดต่อได้อีก ผู้เสียหายเชื่อว่าตนเองถูกมิจฉาชีพหลอก
คดีที่ 2 หลอกลวงให้ติดตั้งโปรแกรมควบคุมระบบโทรศัพท์ ให้ได้ไปซึ่งทรัพย์ มูลค่าความเสียหาย 137,755 บาท โดยผู้เสียหายได้รับการติดต่อกับมิจฉาชีพผ่านช่องทางโทรศัพท์ อ้างตนเป็นเจ้าหน้าที่กรมที่ดิน สำนักงานใหญ่ แจ้งว่าจะเวนคืนที่ดินให้ผู้เสียหายหลงเชื่อ มิจฉาชีพให้เพิ่มเพื่อนทาง Line แล้วให้ทำตามที่เจ้าหน้าที่บอกตามขั้นตอน ดาวน์โหลดแอปพลิเคชันของกรมที่ดินและ ให้กรอกข้อมูลส่วนบุคคล เข้าแอปพลิเคชันธนาคารของผู้เสียหาย ต่อมาภายหลังเช็ค ยอดเงินในบัญชีของตนพบว่า มีการโอนออกไป จึงติดต่อกลับไปแต่ไม่สามารถติดต่อได้อีก ตนจึงเชื่อว่าถูกมิจฉาชีพหลอก
คดีที่ 3 หลอกลวงให้ติดตั้งโปรแกรมควบคุมระบบโทรศัพท์ ให้ได้ไปซึ่งทรัพย์ มูลค่าความเสียหาย 102,885 บาท ทั้งนี้ผู้เสียหายได้รับการติดต่อจากมิจฉาชีพผ่านช่องทางการโทรศัพท์ อ้างตนว่าเป็นเจ้าหน้าที่การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค จะทำการโอนเงินคืนค่าติดตั้งอุปกรณ์มิเตอร์ไฟฟ้าให้ผ่านทางแอปพลิเคชัน ผู้เสียหายหลงเชื่อได้เพิ่มเพื่อนทาง Line จากนั้นทำตามคำแนะนำเจ้าหน้าที่ บอกทุกขั้นตอน ต่อมาภายหลังผู้เสียหายเช็คยอดเงินในบัญชีของตนพบว่า ได้ถูกโอนออกไป ตนจะติดต่อกลับไปหาเจ้าหน้าที่ แต่ไม่สามารถติดต่อได้อีก จึงเชื่อว่าตนเองถูกมิจฉาชีพ หลอกลวง
คดีที่ 4 หลอกลวงซื้อขายสินค้าหรือบริการ ที่ไม่มีลักษณะเป็นขบวนการ มูลค่าความเสียหาย 53,000 บาท ผู้เสียหายพบโฆษณากระเป๋าแบรนด์เนม อ้างว่าเป็นสินค้านำเข้า ผ่านช่องทาง Instagram เกิดความสนใจจึงทักไปสอบถามรายละเอียดทาง Chat Instagram และได้ตกลงซื้อขายสินค้า โดยโอนเงินชำระค่าสินค้าและค่าขนส่งเป็นที่เรียบร้อย จากนั้นผู้เสียหายต้องการทักไปสอบถามข้อมูลเลขพัสดุเพิ่มเติม แต่ไม่สามารถติดต่อได้อีก ตนเชื่อว่าถูกมิจฉาชีพหลอก
และคดีที่ 5 ดีหลอกลวงเป็นบุคคลอื่นเพื่อยืมเงิน มูลค่าความเสียหาย 4,699 บาท โดยผู้เสียหายได้รับการติดต่อจากมิจฉาชีพผ่านช่องทาง Messenger Facebook โดยใช้รูปโปรไฟล์น้องสาวของผู้เสียหายทักข้อความมายืมเงิน เพื่อชำระค่าสินค้าเพราะจำนวนเงินไม่พอ ผู้เสียหายหลงเชื่อจึงโอนเงินไป ต่อมาผู้เสียหายได้เข้าไปส่องดู Facebook น้องสาว จึงเห็นข้อความที่น้องสาวโพสต์ลง Facebook ว่าถูกมิจฉาชีพใช้แอบอ้างทักไปยืมเงิน ให้ระวังด้วย ตนจึงทราบว่าถูกมิจฉาชีพหลอก
สำหรับมูลค่าความเสียหายที่เกิดขึ้นทั้ง 5 คดี รวม 6,038,339 บาท
“จากเคสตัวอย่าง มิจฉาชีพใช้วิธีการหลอกลวงผู้เสียหาย ด้วยการหลอกให้รัก หรือ Romance Scam อ้างรับราชการทหารอยู่ต่างประเทศ และจะกลับมาใช้ชีวิตด้วยกัน โดยให้ผู้เสียหายโอนเงินเป็นค่าเกษียณก่อนกำหนด โดยใช้วิธีติดต่อผ่านช่องทางโซเชียลมีเดีย คือ Facebook ทั้งนี้ขอย้ำว่า กรณีที่ไม่เคยรู้จักพบเห็นหน้ากันมาก่อน ต้องตรวจสอบรายละเอียดให้ชัดเจน และไม่หลงเชื่อ หลงกล เมื่อฝ่ายตรงข้ามให้ทำการโอนเงินให้ โดยอ้างเหตุผลต่างๆ ขณะเดียวกันยังมีเคสที่แอบอ้างหน่วยงานรัฐ ให้กดลิงก์ยืนยัน โดยขอให้ยึดหลัก 4 ไม่ คือ 1. ไม่กดลิงก์ 2.ไม่เชื่อ 3.ไม่รีบ และ 4.ไม่โอน ก่อนที่จะทำธุรกรรมใดๆ และควรตรวจสอบกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อสอบถามรายละเอียดให้แน่ชัด หรือติดต่อผ่านทางสายด่วน AOC 1441 เพื่อยืนยันตรวจสอบข้อเท็จจริง” นางสาววงศ์อะเคื้อ กล่าว
อย่างไรก็ตาม ขอให้ประชาชนระมัดระวัง อย่ากดเข้าลิงก์เว็บไซต์ หรือดาวน์โหลด และอัปโหลดแพลตฟอร์ม ที่มีการส่งต่อจากช่องทางที่ไม่แน่ใจ โดยกระทรวง ดีอี ได้เร่งดำเนินการปราบปรามอาชญากรรมออนไลน์ทุกรูปแบบร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมถึงการเผยแพร่ให้ความรู้เกี่ยวกับการป้องกันภัยอาชญากรรมออนไลน์ ผ่านศูนย์ AOC 1441 เพื่อแก้ไขปัญหาที่ส่งผลกับประชาชนอย่างต่อเนื่อง