เมื่อวันที่ 31 ส.ค. นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี และอดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงการที่พรรคประชาธิปัตย์ร่วมรัฐบาลกับพรรคเพื่อไทยว่า ตนไม่ได้แปลกใจกับเหตุการณ์นี้ เพราะเป็นสิ่งที่มองเห็นมาระยะหนึ่งแล้ว และทราบมาตลอดว่า มีความพยายามในการติดต่อกันมาแบบนี้ ขณะเดียวกันนั่นเป็นเหตุผลของการที่ตนลาออกจากพรรคประชาธิปัตย์ หลังจากที่เข้าไปคุยกับนายเฉลิมชัย ศรีอ่อน หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์คนปัจจุบัน ก็เข้าใจว่าทิศทางจะเป็นอย่างนี้ ตนจึงตัดสินใจลาออกมา อย่างไรก็ตาม ในฐานะที่ตนเป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ มาเป็นเวลานานและผูกพันอยู่กับพรรค ก็ต้องบอกว่า การกระทำไปร่วมรัฐบาลครั้งนี้ กระทบกระเทือนจิตใจของสมาชิก อดีตสมาชิก และผู้สนับสนุนจำนวนมาก

“สังเกตเห็นว่าในบรรดาบุคคลที่ไม่เห็นด้วย ในการลงมติเข้าร่วมรัฐบาล ก็เป็นอดีตหัวหน้าพรรค ทั้ง 3 คน ที่ยังมีตำแหน่งอยู่ ดังนั้นสิ่งที่เกิดขึ้น ปฏิเสธไม่ได้ว่าคงส่งผลกระทบอย่างรุนแรง ในแง่คนที่เคยสนับสนุนพรรคมาอย่างยาวนาน และในช่วง 1-2 วันที่ผ่านมา ที่มีคนมาพูดคุยหรือแสดงความคิดเห็นกับผมไปในทิศทางเดียวกันหมด แต่เมื่อตัดสินใจแล้ว ก็กลายเป็นทิศทางของพรรค ที่ผู้ที่เป็นผู้บริหารก็ต้องเดินหน้าและรับผิดชอบ” นายอภิสิทธิ์ กล่าว

นายอภิสิทธิ์ กล่าวอีกว่า ไม่อยากให้เข้าใจว่ามันไม่ใช่เรื่องของความขัดแย้งในอดีต หรือการยึดติดกับเรื่องเก่า อันนี้เป็นเรื่องที่เขากระทบกระเทือนจิตใจ มองว่ามันขัดกับความเป็นพรรคประชาธิปัตย์ ที่ยึดถือกันมาช้านาน ไม่ว่าจะเป็นแง่ของอุดมการณ์ที่เคยประกาศไว้ตั้งแต่ก่อตั้งพรรค กับแนวทางที่พรรคทำงานทางการเมืองมาตลอด ตนขอย้ำว่าประชาธิปัตย์ที่อยู่ได้มาอย่างยาวนานในอดีตที่ผ่านมา มีเหตุผลหลักๆ นอกเหนือจากแนวคิดแนวทางในการทำงานแล้วก็คือการพร้อมที่จะทำหน้าที่ฝ่ายค้าน และไม่ได้มุ่งแสวงหาในเรื่องของอำนาจโดยไม่มีเงื่อนไข นี่คือสิ่งที่ทำให้เป็นความแตกต่างกับหลายหลายพรรคในอดีต และจะสังเกตเห็นว่า เมื่อใดก็ตามที่พรรคการเมือง ไม่ว่าจะเป็นพรรคไหนสูญเสียสิ่งเหล่านี้ไป ก็ยากที่จะกอบกู้ศรัทธากับคืนมา

“ผมสันนิษฐานว่าผู้บริหารพรรคมีเหตุผลของเขา แต่ไม่แน่ใจว่าแนวความคิดที่มองว่าการเข้าไปเป็นรัฐบาล แล้วจะช่วยสร้างผลงานเรียกคะแนนนิยมได้จริง เนื่องจากสังคมมองเห็นชัดเจนว่า การเข้าไปครั้งนี้ ไม่ได้มีผลในเชิงเสถียรภาพของรัฐบาล เพราะแม้ไม่มีพรรคประชาธิปัตย์ รัฐบาลก็มีเสถียรภาพอยู่แล้ว และยังไม่มีความชัดเจนว่าจะมีนโยบายอะไรที่พรรคประชาธิปัตย์ จะไปผลักดันในตำแหน่งที่ได้มา ที่จะทำให้คนเห็นว่าไปสร้างความแตกต่างหรือความเปลี่ยนแปลง แต่เป็นเรื่องที่ผู้ที่ตัดสินใจจะต้องพิสูจน์ตัวเองต่อไป ดังนั้นผมมองว่าการกระทำครั้งนี้ ส่งผลค่อนข้างรุนแรงกับบรรดาผู้สนับสนุนพรรค ที่สนับสนุนมายาวนาน ผมต้องติดตามไปต่อว่าอะไรจะเกิดขึ้น ในแง่ของผลจากการตัดสินใจครั้งนี้ และความรับผิดชอบที่จะตามมา” นายอภิสิทธิ์ กล่าว

เมื่อถามว่านายเดชอิศม์ ขาวทอง เลขาธิการพรรค ระบุว่าพรรคประชาธิปัตย์พ่ายแพ้พรรคเพื่อไทยมาตลอด จึงตัดสินใจเข้าร่วมรัฐบาล เพื่อให้พรรคเติบโต นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า เดี๋ยวรอพิสูจน์ได้ว่าเป็นจริงหรือไม่ แต่ประเด็นอยู่ตรงที่ว่าในการพ่ายแพ้ที่ผ่านมา ทุกคนก็พูดชัดเจนว่าหลายครั้ง เราอาจจะทำด้วยวิธีอื่น แล้วก็ประสบความสำเร็จมากกว่านี้ก็ได้ แต่ความเป็นประชาธิปัตย์ทำให้เราไม่ทำ เพราะฉะนั้นนี่คือสิ่งหนึ่งที่เปลี่ยนแปลงไป ซึ่งตนขอย้ำว่าการที่พรรคประชาธิปัตย์อยู่มายาวนาน ไม่ใช่เพราะว่าอะไรก็ได้ เพื่อก้าวเข้าสู่อำนาจ ส่วนสิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนี้ สังคมมองไปในทางเดียวกันว่าความจำเป็นมันไม่มี แต่เป็นการอยากเข้าสู่อำนาจมากกว่าหรือความเชื่อที่ว่าการจะประสบความสำเร็จทางการเมืองได้ต้องเข้าไปมีอำนาจ เมื่อถามว่าการเข้าร่วมรัฐบาลครั้งนี้พรรคประชาธิปัตย์ได้อะไร นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ได้ตำแหน่ง

เมื่อถามว่ามีบางคนในฝ่ายรัฐบาลอ้างว่าที่พรรคประชาธิปัตย์เข้าร่วมรัฐบาลในครั้งนี้ เพราะผู้บริหารพรรค เมื่อปี 2553 ไม่อยู่ในพรรคแล้ว นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า เป็นเรื่องของแต่ละคนที่จะมอง โดยตนไม่ตอบโต้หรือวิจารณ์อะไร เพราะเห็นว่าไม่ใช่เรื่องของผู้บริหารยุคในยุคหนึ่ง แต่กรณีนี้เป็นเรื่องของอุดมการณ์ และแนวทางของพรรคประชาธิปัตย์ที่ทำมาช้านาน ไม่มีใครที่จะอยู่ค้ำฟ้า แต่สิ่งที่จะยึดเหนี่ยวความเป็นพรรคได้คือความคิดและอุดมการณ์ แม้ตนไม่ได้เป็นสมาชิกพรรคแล้ว แต่ยังยึดถืออุดมการณ์ของพรรคประชาธิปัตย์

เมื่อถามย้ำว่าการอ้างของกลุ่มคนดังกล่าว เช่นนี้เหมือนกับให้นายอภิสิทธิ์เป็นแพะ ใช่หรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ตนไม่ติดใจอะไร เพราะเหตุผลหนึ่งที่ตนลาออกมาจากพรรค เพราะรู้ว่าจะเป็นความขัดแย้งเป็นปัญหา และตนถือว่าเมื่อพรรคประชาธิปัตย์ได้เลือกผู้บริหารชุดนี้ ก็ต้องให้เขาทำงานอย่างเต็มที่

ผู้สื่อข่าวถามว่ามีการมองว่าระหว่างพรรคประชาธิปัตย์กับพรรคเพื่อไทยก็ต่อสู้กันมายาวนาน สุดท้ายจบแค่ที่ว่ามีอำนาจร่วมกัน นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า อย่าไปเจาะจงเฉพาะประชาธิปัตย์ ตนคิดว่าตั้งแต่การเลือกตั้งในปีที่ผ่านมา คนจำนวนมากที่สนับสนุนหลากหลายพรรค รู้สึกว่ามีการละทิ้งหลายสิ่งหลายอย่าง ที่เคยบอกกับสมาชิกหรือผู้สนับสนุนไว้ ดังนั้นนี่เป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้พรรคประชาชนถูกมองว่าจะมีความเข้มแข็งขึ้น เพราะไม่ได้เข้ามาอยู่ในขบวนการแบบนี้ และต้องบอกว่าเป็นเรื่องที่น่าเสียดาย สำหรับตน พรรคประชาธิปัตย์อยู่ในจุดที่น่าจะมีโอกาส ในการสร้างพื้นที่ใหม่ทางการเมือง สำหรับประชาชนที่เขามีความรู้สึกว้าเหว่ ว่าความเชื่ออุดมการณ์ ความคิดที่อยากทำการเมืองที่ดีหายไปมันหายไปเกือบหมด และอาจจะไม่ได้เห็นตรงกับพรรคประชาชนในหลายเรื่อง

นายอภิสิทธิ์ กล่าวอีกว่า อย่างไรก็ตาม เมื่อผ่านพ้นตรงนี้ไปแล้ว สิ่งที่รัฐบาลต้องทำอย่างเดียวคือสร้างผลงานให้กับประชาชน และหาทางเรียกคะแนนนิยมกลับมา แต่สิ่งที่น่าเสียดายคือ ประเทศอยู่ในช่วงที่ค่อนข้างจะมีปัญหาในเชิงโครงสร้างเยอะมาก จึงต้องการระบบการเมืองที่ดีเข้ามาจัดการ ทั้งประสิทธิภาพและคุณธรรมแต่ขณะนี้ ในรอบปีกว่าที่ผ่านมา เกือบทุกองค์กรทุกสถาบันถูกตั้งคำถาม ทั้งกระบวนการยุติธรรม นโยบายที่ใช้ในการหาเสียง สิ่งเหล่านี้มันบั่นทอนศรัทธา และการที่ประชาชนจะเข้ามามีส่วนร่วมในการที่จะทำให้การบริหารประเทศแก้ปัญหายากๆ ได้

เมื่อถามว่า จะมองว่าจะทำให้คนที่อกหักจากพรรคประชาธิปัตย์ไปเลือกพรรคประชาชนหรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ตนไปตอบแทนคนอื่นไม่ได้ แต่ตนได้พูดไปแล้วว่า พรรคประชาชนอยู่อยู่ในจุดที่ค่อนข้างได้เปรียบในแง่ที่ว่าประชาชนมองว่า พรรคการเมืองต่างๆ วนเวียนและอยู่ในวังวนของการแย่งชิงอำนาจ โดยไม่ได้คำนึงถึงเรื่องความคิดอุดมการณ์ ใครจะพูดอย่างไรก็แล้วแต่ สำหรับผู้สนับสนุนพรรคที่ร่วมรัฐบาลอยู่ขณะนี้ เขามองว่าเป็นเรื่องเดียวกัน เป็นเนื้อเดียวกัน จะอ้างอย่างเดียวคือ พรรคเผื่อป้องกันไม่ให้พรรคที่เป็นฝ่ายค้านอยู่มาเป็นรัฐบาล แต่กลับกลายเป็นว่า ทุกวันนี้ไปเพิ่มความเข้มแข็งให้กับพรรคที่เป็นฝ่ายค้านอยู่ ส่วนคะแนนจะสวิงหรือไม่ ตนไม่ได้อยู่ในการเมือง แต่ได้พบปะกับผู้คนคิดว่าคนจำนวนมาก มีความรู้สึกที่ขณะนี้มีความรู้สึกว่า เขาไม่มีทางเลือก แต่ถ้าเขาเลือกก็คงเลือกพรรคที่ยังไม่มีแผล ยังไม่มีประเด็นในเรื่องของการที่จะค่อยทำอะไรที่มองว่าเป็นการทรยศต่อความคิดความเชื่อของคนที่เกี่ยวข้อง

ผู้สื่อข่าวถามว่าในมุมของพรรคประชาธิปัตย์ ที่ตัดสินใจเข้าร่วมรัฐบาลครั้งนี้อาจจะกระทบกับฐานเสียง โอกาสในการจะฟื้นฟูกอบกู้พรรคกลับมา ยังมีหรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ตนไม่ได้บอกว่าควรจะตัดสินใจทำตามฐานเสียงเสมอไป ปัญหาอยู่ที่ว่าฐานเสียง ด้วยเหตุผลอะไรและเหตุผลรับฟังได้จริงหรือไม่ อย่างที่ตนบอกว่าไม่ได้จำเป็นต้องไปเสริมเสถียรภาพของรัฐบาล และยังมองไม่เห็นว่านโยบายที่พรรคจะไปผลักดันนั้น ประชาชนจะเข้าใจรับรู้ได้หรือไม่ว่าเป็นเรื่องของพรรคประชาธิปัตย์จริงๆ จึงทำให้ตรงนี้เป็นเรื่องยากที่พรรคจะกอบกู้ศรัทธาคืนมา

เมื่อถามว่ามีการวิจารณ์ว่าพรรคประชาธิปัตย์อาจจะกลายเป็นพรรคต่ำ 10 หรือสูญพันธุ์ได้ในการเลือกตั้งครั้งหน้า นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ไม่มีใครทราบ แต่ก็หนักใจแทนผู้บริหารพรรค จึงอยากจะบอกว่าตรรกะที่บอกว่าถ้าเข้าไปมีอำนาจแล้วจะมีผลงาน มันไม่ใช่ ซึ่งตรรกะนี้ถูกใช้มาแล้วเมื่อปี 2562 สำหรับผู้ที่สนับสนุนพรรคมาเป็นเวลายาวนาน โดยเฉพาะพรรคประชาธิปัตย์ คือเรื่องของจุดยืน เรื่องของความมั่นคง และหลังอ้างอิงในการตัดสินใจในเรื่องต่างๆ

เมื่อถามว่าโอกาสที่นายอภิสิทธิ์ จะกลับมากอบกู้พรรคประชาธิปัตย์อีกครั้งเป็นไปได้หรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ตนไม่ได้คิดตั้งพรรค ไม่ได้คิดจะไปไหนอยู่แล้ว แต่ตอนจะกลับมาพรรคประชาธิปัตย์ได้ ก็ต้องเป็นอุดมการณ์พรรคประชาธิปัตย์แบบที่ตนเข้าใจ

เมื่อถามว่ามีการพูดถึงว่าพรรคประชาธิปัตย์บอบช้ำใกล้จะตาย แต่จะกลับมาฟื้นใหม่ได้โดยมีนายอภิสิทธิ์มากอบกู้ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ไม่มีใครทราบอนาคตและการจะกอบกู้อะไรต่างๆ ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ให้เวลาในขณะนี้เป็นตัวพิสูจน์ก่อนว่า แนวทางที่ผู้บริหารพรรคชุดปัจจุบันเชื่อนั้นมันเป็นจริงหรือไม่ ถ้าเป็นจริง หลายคนที่วิเคราะห์ก็ผิด และพรรคก็เติบโตไป แต่สำหรับตนไม่ได้ยินดียินร้ายอะไร กับการเติบโตด้วยวิธีแบบนี้ จึงอยู่ที่ผู้บริหารเขาจะตัดสินใจอย่างไร

เมื่อถามว่ามีโอกาสสำหรับพรรคประชาธิปัตย์บนเส้นทางการเมืองที่มีความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นหลายอย่าง นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ด้วยความที่ตนอยู่กับพรรคมานานมาก และรู้จักกับทุกคนที่สนับสนุนไม่มากก็น้อยมาโดยตลอด ตนยังเชื่อว่ามีคนจำนวนมาก ยังมีความผูกพัน ยังมีความรักความเป็นประชาธิปัตย์แบบที่เขาเคยรู้จัก วันข้างหน้าตนจะกลับมาตรงนั้นได้หรือไม่ ก็เป็นโจทย์ที่ยาก แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่จะเป็นไปไม่ได้

เมื่อถามว่ามองว่าพรรคประชาธิปัตย์ขณะนี้ละทิ้งอุดมการณ์ และคำขวัญของพรรคไปหรือไม่ อดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ดูเหมือนพรรคเพื่อไทยเขาบอกเองว่าประชาธิปัตย์วันนี้ไม่ใช่ประชาธิปัตย์วันก่อน ส่วนที่พรรคเพื่อไทยบอกว่าอุดมการณ์คล้ายกันแล้วนั้น ก็ต้องถามพรรคเพื่อไทย เพราะเป็นคนเขียนหนังสือเชิญเข้าร่วมรัฐบาล

เมื่อถามว่าในฐานะที่นายอภิสิทธิ์อยู่กับพรรคมานาน และต่อสู้กับพรรคเพื่อไทยมายาวนาน คิดว่า 2 พรรคนี้มีอุดมการณ์คล้ายกัน หรือเป็นอุดมการณ์เดียวกันหรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ถ้าพรรคเพื่อไทยมองว่าพรรคประชาธิปัตย์เปลี่ยนไปแล้ว ตนก็มองว่าพรรคเพื่อไทยยังไม่ได้เปลี่ยน ยังเหมือนเดิมทุกอย่าง มีหลายเรื่องเป็นสิ่งที่ศาลพิพากษาแล้ว ก็ยังคงดำรงต่อไปเป็นแนวทางของพรรคเพื่อไทยจนถึงปัจจุบัน