เมื่อวันที่ 31 ส.ค. นายราเมศ รัตนะเชวง อดีตโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กล่าวพาดพิงถึงพรรคประชาธิปัตย์ กรณีไม่สามารถยอมรับการกระทำของผู้บริหารพรรคประชาธิปัตย์ในอดีตได้นั้นว่า หลายครั้งหลายคนในพรรคเพื่อไทย พยายามพาดพิงการดำเนินการกิจกรรมทางการเมืองในอดีตของพรรคประชาธิปัตย์ ก็ต้องตั้งคำถามกลับว่า อดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ มีใครเคยติดคุก เคยโกงประเทศหรือไม่ มีหัวหน้าพรรคที่เป็นอดีตนายกรัฐมนตรี ต้องหนีคดีโกงชาติบ้านเมืองออกนอกประเทศบ้างหรือไม่ สำหรับผู้บริหารชุดปัจจุบัน นำประชาธิปัตย์เข้าร่วมรัฐบาล แต่มีสมาชิก มีประชาชนที่มีความเห็นต่างไม่เห็นด้วย อดีต สส. อดีตรัฐมนตรี บุคคลที่ยังรักและศรัทธาพรรคที่ยังยืนหยัด เขายังรักศักดิ์ศรีและคุณความดีในอดีตของพรรคที่ได้สร้าง ได้สะสมมา การจะมาว่ากล่าวทับถมอดีตคงไม่ถูกต้อง เพราะถ้ากล่าวถึงอดีต นับแต่ไทยรักไทย พลังประชาชน จนมาถึงเพื่อไทย พูดวันหนึ่งคงไม่จบ โดยเฉพาะเรื่องคดีทุจริตที่ศาลมีคำพิพากษาแล้วเดือนหนึ่ง ไม่รู้จะพูดกันจบหรือไม่

นายราเมศ กล่าวอีกว่า การที่คนของพรรคเพื่อไทย พยายามพูดถึงนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตหัวหน้าพรรค เรื่องการสลายการชุมนุม ล้วนแล้วแต่เป็นเท็จทั้งสิ้น กระบวนการทุกอย่างได้ดำเนินการไปตามกรอบของกฎหมาย ผ่านกระบวนการยุติธรรม ผ่านคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) และที่ปรากฏข้อเท็จจริงชัด ตามคำพิพากษาของศาลว่า การชุมนุมมิใช่การชุมนุมโดยสงบตามรัฐธรรมนูญ และมีบุคคลที่มีอาวุธปืนปะปนอยู่ในกลุ่มผู้ชุมนุม เรื่องนี้มีการหยิบยกมาฟ้องร้องกันในหลายคดี ข้อเท็จจริงจบไปแล้ว นายอภิสิทธิ์ไม่ได้กระทำความผิด ที่พยายามพูดว่ายังรับเรื่องนี้ไม่ได้ ก็เพื่อให้พรรคเพื่อไทยดูดีในสายตาของกลุ่มผู้ชุมนุม

“ต้องแยกพรรคประชาธิปัตย์ กับมติให้ร่วมรัฐบาลออกจากกัน เพราะศักดิ์ศรีของพรรคทั้งหมดที่ผ่านมา ไม่ได้จบตรงมติที่ให้ร่วมรัฐบาล ที่จะให้ใครมาย่ำยีศักดิ์ศรีความเป็นประชาธิปัตย์ในอดีตได้ ขอให้นายกรัฐมนตรีย้อนกลับไปดูอดีตพรรคของคุณจนมาถึงปัจจุบัน และอนาคตจะมาถึงเร็วๆ นี้ ว่าจะมีจุดหมายปลายทางเป็นอย่างไร” นายราเมศ กล่าว