นายโสภณ หนูรัตน์ หัวหน้าฝ่ายคุ้มครองและพิทักษ์สิทธิผู้บริโภค สภาผู้บริโภค เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 29 ส.ค. สภาผู้บริโภค ทนายความ พร้อมด้วยผู้เสียหาย ยื่นฟ้องบริษัท ไทยซัมซุง อิเลคโทรนิคส์ จำกัด เป็นคดีแบบกลุ่ม (Class Action) ต่อ ศาลแพ่งกรุงเทพใต้ กรณีหน้าจอโทรศัพท์มือถือรุ่นซัมซุง กาแล็กซี (Samsung Galaxy) หลายรุ่น พบปัญหาหน้าจอเป็นเส้น โดยช่วงที่ผ่านมามีผู้บริโภคเข้ามาร้องเรียนกับสภาผู้บริโภค เกือบ 250 ราย กรณีพบปัญหาหน้าจอโทรศัพท์มือถือซัมซุง กาแล็กซี รุ่นต่าง ๆ เกิดเส้นสีเขียวหรือสีชมพูขึ้นบนหน้าจอ รวมถึงมีอาการเครื่องร้อนผิดปกติหรือหน้าจอดับในบางราย และบางรายพบอาการหลังจากมีการอัปเดตระบบปฏิบัติการเวอร์ชันวัน ยูไอ
ซึ่งเมื่อผู้บริโภคติดต่อไปยังศูนย์บริการของซัมซุง ได้รับคำตอบว่าอาจเกิดจากเครื่องหมดประกัน หรือบางรายได้รับคำตอบว่าอาจทำเครื่องตกหล่นหรือเครื่องเสื่อมสภาพตามอายุการใช้งานและต้องส่งซ่อม โดยผู้บริโภคต้องรับผิดชอบเสียค่าใช้จ่ายประมาณ 7,000-15,000 บาท
อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้สภาผู้บริโภคได้ส่งหนังสือขอให้บริษัทชี้แจงและแก้ไขปัญหา แต่ไม่ได้ความร่วมมือในการแก้ไขปัญหาซึ่งการกระทำของบริษัทฯ เข้าข่ายเป็นการเอาเปรียบผู้บริโภคโดยไม่เป็นธรรม เกิดผลกระทบกับผู้บริโภคจำนวนมากที่ไม่สามารถใช้งานโทรศัพท์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเกิดภาระค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมเพื่อให้ใช้งานได้ตามปกติ
ดังนั้น สภาผู้บริโภค ในฐานะผู้แทนของผู้บริโภคตาม พ.ร.บ.การจัดตั้งสภาองค์กรของผู้บริโภค พ.ศ. 2562 ร่วมกับตัวแทนผู้บริโภคที่ได้รับความเสียหาย จำนวน 119 ราย จึงยื่นคำร้องขออนุญาตให้ดำเนินคดีแบบกลุ่มเพื่อคุ้มครองสมาชิกกลุ่มที่ได้รับความเสียหายจากกรณีข้างต้น กับบริษัท ซัมซุง อิเลคโทรนิคส์ จำกัด (ประเทศเกาหลีใต้) และ บริษัท ไทยซัมซุง อิเลคโทรนิคส์ จำกัด (ประเทศไทย) ที่ศาลแพ่งกรุงเทพใต้
นายโสภณ กล่าวว่า คดีนี้มีผู้บริโภคได้รับความเดือดร้อนจำนวนมาก สภาผู้บริโภคเห็นว่าการฟ้องเป็นคดีกลุ่มจะทำให้ผู้บริโภคจำนวนมากได้รับประโยชน์มากกว่าการดำเนินคดีผู้บริโภคทั่วไป รวมถึงป้องกันมิให้คำพิพากษาของศาลขัดกัน และลดคดีที่ขึ้นสู่ศาลจำนวนมาก อีกทั้งผลคดีจะทำให้ผู้ที่ได้รับความเสียหายในลักษณะเดียวกันได้รับการชดเชยเยียวยาทั้งหมด ทำให้ผู้บริโภคได้รับความสะดวก และประหยัด ไม่เกิดภาระในการดำเนินคดี รวมทั้งยังเป็นการป้องปรามไม่ให้ผู้ประกอบธุรกิจทำพฤติกรรมเอาเปรียบผู้บริโภคแบบเดียวกันอีก
“การที่ผู้บริโภคใช้มือถือได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ จนทำให้เสียโอกาสในการใช้งาน และการที่บริษัทฯ ไม่แก้ไขหรือชดเชยความเสียหายให้ เข้าข่ายละเมิดสิทธิผู้บริโภคในการที่จะได้รับการชดเชยเยียวยาเมื่อพบสินค้าที่ชำรุดบกพร่อง สภาผู้บริโภคจึงเป็นโจทก์ยื่นฟ้องคดีกลุ่มเพื่อให้ผู้บริโภคจำนวนมากที่ได้รับความเสียหายในลักษณะเดียวกันได้รับการชดเชยเยียวยาทั้งหมด” นายโสภณ ระบุ
นายโสภณ กล่าวต่อว่า แม้ปัจจุบันจะมีกฎหมายคุ้มครองผู้บริโภคเกี่ยวกับความรับผิดชำรุดบกพร่องของสินค้า เมื่อผู้บริโภคพบปัญหาสินค้าชำรุดบกพร่องตั้งแต่แกะกล่องหรือใช้ไปได้สักระยะ ได้แก่ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ แต่กฎหมายยังขาดขอบเขตความรับผิดของผู้ขายที่ชัดเจน สิทธิของผู้ซื้อยังคลุมเครือ และไม่มีคำนิยามที่กระจ่างของคำว่า “ความชำรุดบกพร่อง” จนทำให้เกิดช่องโหว่ที่ผู้ประกอบการไม่เกรงกลัวและสามารถเอาเปรียบผู้บริโภคได้ ขณะที่ผู้บริโภคต้องต่อสู้เพื่อเรียกร้องสิทธิของตนเอง
สภาผู้บริโภคจึงได้เสนอ “ร่าง พ.ร.บ.ความรับผิดเพื่อความชำรุดบกพร่องของสินค้า ฉบับสภาผู้บริโภค” หรือที่เรียกว่าเลมอน ลอว์ (Lemon Law) เพื่อให้ผู้ซื้อสินค้าทุกคนได้รับการคุ้มครอง หากพบความชำรุดบกพร่องของสินค้า โดยสามารถใช้สิทธิได้ 5 กรณี ได้แก่ ขอซ่อม ขอเปลี่ยน ขอลดราคา ขอเลิกสัญญา หรือขอปฏิเสธชำระค่างวดผ่อนสินค้า ปัจจุบันได้เสนอร่างกฎหมายฉบับนี้เข้าสู่สภาผู้แทนราษฎรแล้ว ร่วมกับการเสนอให้แก้ไขกฎหมายอีก 2 ฉบับ ได้แก่ การแก้ไข พ.ร.บ.อาหาร และ พ.ร.บ.คุ้มครองผู้บริโภค ที่กฎหมายฉบับปัจจุบันมีเนื้อหาที่ล้าสมัย ไม่สามารถคุ้มครองผู้บริโภคได้อย่างแท้จริง โดยสามารถดูรายละเอียดเนื้อหากฎหมายต่อที่เว็บไซต์สภาผู้บริโภค (https://www.tcc.or.th)
อย่างไรก็ตาม ในส่วนของการยื่นฟ้องซัมซุงเป็นคดีกลุ่ม ศาลจะมีการนัดไต่สวนคำร้องเพื่อพิจารณาว่าจะรับคดีดังกล่าวเป็นคดีแบบกลุ่มหรือไม่ หากมีความคืบหน้าอย่างไร สภาผู้บริโภคจะแจ้งให้ผู้บริโภคทราบต่อไป