กลับมาเป็นที่สนใจอีกรอบสำหรับเรื่องราวมหากาพย์คดีลักทรัพย์ มูลค่ากว่า 20 ล้าน หลังจากที่เมื่อวานนี้ 28 ส.ค. ผู้จัดและนางเอกสาว “แอน ทองประสม” ได้ขึ้นศาลครั้งแรก นัดสืบพยานในคดีถูกอดีตผู้ช่วยเลขาขโมยทรัพย์สินนำไปขายและจำนำ ก่อนที่สาวแอนจะทำการอายัดทรัพย์สินที่ถูกขโมยไปคืนกลับมา แต่ยังเหลือเพชรที่มีมูลค่าเยอะกว่าทุกชิ้นที่ยังไม่ได้คืนและสาวแอนก็อยากได้คืนมากๆ และมีการทวงถามและติดตามอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดเจอตัวสาวแอนในงาน “เปิดตัวคอลเลกชัน UNIQLO FallWinter 2024” เจ้าตัวก็เล่าว่า

แอน เผยว่า “ปิดจ๊อบแล้วค่ะ แอนลุ้นมากค่ะ ในระหว่างช่วงเช้าแอนไปที่ศาล จริงศาลนี้เป็นนัดสืบพยาน นัดแรกคือนัดไกล่เกลี่ยซึ่งนัดไกล่เกลี่ยไม่มีอะไร พอมานัดสืบพยานก็จะต้องมีทั้งฝั่งเราและเขามา แอนก็เตรียมสคริปต์ที่ต้องพูดไปแต่ก็ไม่ได้ใช้ทั้งหมด เพราะก็มีการสรุปกันได้เร็วกว่านั้น เมื่อถามถึงความรู้สึกที่ต้องขึ้นศาล คือพิมพ์ลายนิ้วมือมันเกิดขึ้นตอนที่ของแอนหายใหม่ๆ ช่วงนั้นมีความรู้สึกไม่ไหวเลย อยู่ๆก็มีฝ่ายเก็บพิสูจน์หลักฐาน มาพิมพ์ลายนิ้วมืออยู่ในคอนโดเรา มันเป็นอะไรที่เรารู้สึกมันน่าขมขื่นมาก ทำไมมันถึงเกิดขึ้นกับเรา มันเหมือนในละคร ฉันทำอะไรเนี่ย ณ ตอนนั้นแอนไม่เคยได้บอกเลยว่ารู้สึกอะไร บอกแค่ว่าเหตุการณ์เป็นยังไง แต่วันนี้ก็พอเล่าได้แล้วความรูสึกมันหลากหลายมาก กับระยะเวลา 2 ปีที่ผ่านมา แอนยอมรับว่าความรู้สึกขึ้นๆ ลงๆ ตลอดเวลา เพราะบางทีก็มีข้อมูลว่าไม่มีทางได้คืน แต่บางครั้งก็มีช่องทางให้ทำได้ แต่ท้ายสุดแอนโชคดีที่มีผู้ใหญ่ท่านนึงเดินกวักมือเรียกแอน แล้วบอกว่า แอนมานี่หน่อย เล่าให้พี่ฟังหน่อยว่าไปถึงไหนแล้ว แอนบอกเม็ดสุดท้ายนี่ยากสุดเลย แอนคงหมดใจแล้วที่จะตามอาจจะต้องไปจ่ายเงินทั้งหมด เขาก็บอกไม่ต้อง มันมีทางออก ก็เลยมาเริ่มศึกษากัน แอนก็มีผู้ใหญ่ท่านนี้คอยให้คำแนะนำ แต่สิ่งที่ตามมาได้ก็หืดสุด เหนื่อยสุดเลย มันเป็นเม็ดใหญ่สุด แล้วมูลค่ามันสูง มันก็ทำให้ทางฝั่งเขาทำใจยากที่จะคืนกลับมา คือคนอาจจะงงว่าแอนเอาคืนมาจากไหน คนที่ขโมยไปเขาได้รับโทษเรียบร้อย แต่แอนต้องไปต่อสู้กับร้านเพชรร้านนี้แหละที่เขารับซื้อไป ซึ่งในแต่ละร้านที่ผ่านมาทุกท่านก็คืนให้ด้วยเงื่อนไขต่างๆ นานา แต่ส่วนใหญ่ก็จะเห็นใจแอนกันหมด มีอันสุดท้ายนี่แหละที่ต้องใช้เวลา อย่างที่แอนบอกว่าแอนไม่ได้อยากเดินทางมาถึงจุดที่ต้องขึ้นศาล อยากเอาเวลาไปใช้ชีวิต ทำมาหากินกันเหมือนเดิม แต่มันตกลงกันไม่ได้เราเลยต้องมาถึงสเต็ปนี้”

“ส่วนเพชรในตอนนี้ได้คืนแล้ว เอาจริงๆ แอนก็ยังมีความไม่กล้าใส่อยู่ มันยังกล้าๆ กลัวๆ มันเป็นเรื่องของอีโมชั่นจัดๆ เลย ว่าเราใส่ได้ใช่ไหมเขาเป็นของเราใช่ไหมทำไมมันยากจัง เพราะตอนแอนได้เขามาแอนแทบจะไม่ได้ใช้เขาเลยก็อย่างที่บอกว่าซื้อมาลงทุน อย่างเมื่อวานที่นักข่าวจะมาถามแอน แอนก็ไม่รู้ว่าจะตอบอะไรได้เพราะไม่รู้ว่าตอนนั้นจะผิดหวังหรือสมหวัง แต่วันนี้ความรู้สึกมันก็เปลี่ยนและทำให้เรารู้ว่าบางทีการที่เราถูกต้องถ้าเราไม่เตรียมข้อมูลเพียงพอมันก็จะไม่ใช่เป็นฝ่ายเราที่จะได้ไปเช่นกัน แอนก็สู้เรื่องนี้มาจนชนะ ก็อยากจะแชร์เรื่องราวที่เกิดขึ้นว่า คือเราเก็บของต้องมีทั้งใบเซอร์ ทั้งหลักฐานที่เป็นของๆ เรา ถ้าหายไปแล้วในการแจ้งความเราก็ต้องชัดเจนว่าเป็นเจ้าของที่แท้จริง เพราะวันนึงมันจะพิสูจน์ได้ว่าเป็นของเราจริงหรือไม่ คือหลายคนอาจจะมองว่าใบเซอร์ไม่สำคัญแต่จริงๆคือมันสำคัญมาก ด้วยความที่แอนคิดว่าแอนจะสู้ไม่ชนะ ซึ่งถ้าแอนสู้ไม่ชนะมันคงมีดีเทลความล้มเหลวของเราบางอย่างที่เราจะเล่าให้ฟังว่ามันเพราะอะไรเราถึงไม่ได้ แต่พอมาตอนนี้เขาไม่ได้ต่อสู้อะไรกับแอน เขายอมของเขา มันก็เลยกลายเป็นว่าไม่มีขั้นตอนที่จะเล่าก็เลยจบไป”

“ส่วนถ้าถามว่าหลังจากนี้กล้าที่จะซื้อทรัพย์สินอะไรใหม่ๆ อีกไหม ก็เรื่องอารมณ์ซื้อก็อาจจะเบาลง แต่มันเป็นเรื่องของการเก็บและไว้วางใจของคนในบ้านเรามากกว่า ท้ายสุดของของเราก็ต้องดูแลให้ดีที่สุด แอนไม่ได้อยากให้ทุกคนหลอนคนใกล้ตัวนะ แต่เราไม่เปิดช่องไม่เปิดโอกาสให้ใครมันก็จะดีกว่า บางทีเขาอาจจะไม่เคยมีนิสัยคิดอยากจะทำแบบนั้น แต่พอเราไปวางโต้งๆ ให้เห็น มันอาจจะหวานเหลือเกินอยากจะหยิบหรืออะไร ซึ่งกับใครมันก็เกิดขึ้นได้ เราก็ไม่ได้อยากทำให้คนๆ นึงต้องมาติดคุกเพราะเรา อย่าได้เกิดกับใครเลย แอนแค่รู้สึกแบบนั้น ส่วนเรื่องการซื้อของชิ้นใหม่ๆ คงไม่ซื้อแล้ว มันเป็นเรื่องของความรู้สึกแล้ว อย่างเช่นวันที่แอนไปหน้าโรงรับจำนำและแอนเดินเข้าไปบอกอันนี้เป็นของแอน แอนขอดูหน่อยได้ไหม อยากยืนยันว่าของที่คุณรับไปมันเป็นของเรา บางร้านเขาก็เหมือนจะเรียกตำรวจกันไว้กลัวเราจะฉกของเราไปเลยทันที มันเลยทำให้เกิดสัจธรรมว่า ของของเราแต่เราแตะต้องเขาไม่ได้ วันนึงมันถูกเปลี่ยนสถานะ ตรงนั้นมันไม่มีความหมายเลยเรายืนดูแบบไม่สามารถแตะต้องมันได้ในทุกชิ้นที่แอนไป มันเลยทำให้แอนเกิดความรู้สึกว่าไม่ได้อยากได้อะไรอีกแล้วในตอนนั้น ตอนนี้ก็พอก่อน ทำงาน คือเราไม่ได้ขยาดขนาดนั้นแต่มันไม่ได้ร่ำร้องจะอยากได้ คือถ้าต้องมางานแอนก็ใส่ปกติได้ เพียงแต่ว่าต้องให้เวลาแอนคลายตัวอีกหน่อยนึงเท่านั้นเอง”

แอน เล่าต่อว่า “ส่วนตอนนี้แอนยอมรับว่าสบายใจขึ้นเพราะตอนแรกไม่รู้ว่าจะชนะคดีไหม มีความกลัวที่จะขาดความเคารพความยุติธรรม เพราะชอบมโนไปเอง ซ้อมความรู้สึกที่จะไม่ได้ ว่าจะรู้สึกยังไง คงจะดาวน์เหมือนโดนเตะซ้ำๆ จนเจ็บ แล้วถ้าหากจะโดนอีกคงไม่ไหว ถ้าความยุติธรรมไม่เกิดขึ้นกับเรา ปรากฏว่าความยุติธรรมเกิดจริงๆ เรายังเชื่อมั่นและเรายังมีใจฟูขึ้นมาในการที่จะทำอะไรต่อ ตอนนี้ก็รู้สึกโล่งใจ อย่าขึ้นโรงขึ้นศาลดีที่สุด ก็มีหลายคนเข้ามายินดีเต็มเลย เพราะว่าเมื่อก่อนนี้ไปไหนก็มีแต่คนถามว่าเรียบร้อยหรือยัง ซึ่งเราก็เราแบบนี้ซ้ำๆเยอะๆ แต่พอเมื่อวานแอนก็กะว่าจะไม่ลงหรอก แต่แอนคิดว่าแอนควรต้องลงเพราะว่าคงมีคนรอคำตอบจากเรื่องนี้เยอะ และบางทีเขาอยากรู้เคสเขาอยากรู้เป็นความรู้ แอนก็จะเล่าหลังบ้านให้ฟังว่ามันเป็นยังไง เขาจะได้ความรู้ในตรงนั้นไป คนก็เลยค่อนข้างที่จะมีรีแอคกับเรื่องนี้ของแอนค่อนข้างเยอะ อยากรู้ว่ามันจะจบแบบไหน หลังจากนี้พี่ๆน้องๆเจอเคสแบบนี้สามารถปรึกษาแอนได้ ตอนนี้เซียนแล้ว (หัวเราะ) ถ้าเกิดเหตุแบบนี้รู้แล้วว่าจะต้องดีลยังไง คือเรียกว่าเล่าประสบการณ์ที่มันมีทั้งช่วงที่แอนก็เพลี่ยงพล้ำที่ไม่ใช่เวลาของเรา เราต้องไปหาข้อมูลใหม่มางัดให้ได้ มันก็จะเป็นไปในลักษณะแบบนั้นมากกว่า หรือแบบว่าคำบางคำที่เราจะใช้ในศาล มันก็จะต้องเป็นคำที่ถูกกับสถานการณ์จริงๆ มันมีผลกับมุมมองและการตัดสินใจในหลายๆอย่าง เพราะฉะนั้นแล้วถึงบอกว่าเราต้องโฟกัสกับคดีของเรามาก เราจะปล่อยให้มันเหมือนตามมีตามเกิดไม่ได้ เราต้องเป็นคอนโทรลมันด้วย บทละครเรื่องนี้ Find My Diamond ถ้าถามว่าเริ่มเขียนหรือยังบอกเลยวันนี้ไม่แน่อาจจะมี (หัวเราะ) เป็นวิทยาทานเลยนะ”