โฉมหน้า ครม. “อิ๊งค์ 1” ที่เสร็จเกือบ 100 เปอร์เซ็นต์ ก็ทำให้สังคม นักวิชาการ ภาคประชาชน ตั้งคำถามว่า ครม.ไม่ได้ดีไปกว่ารัฐบาลยุค พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หรือ ยุค เศรษฐา ทวีสิน เพราะส่วนใหญ่เป็นโฉมหน้าคนเดิมๆ ที่เข้ามาเวียนว่ายในเก้าอี้รัฐมนตรี แล้วจะสามารถเข้ามาแก้ไขปัญหาได้มากน้อยแค่ไหน สำหรับปัญหาเฉพาะหน้า อันดับ 1 อย่าง ปัญหาเศรษฐกิจ ที่ประชาชนทุกภาคส่วนตั้งความหวังเอาไว้ โดยเฉพาะโครงการนโยบาย “เรือธง” ของพรรคเพื่อไทย ในโครงการแจกเงินหมื่น “ดิจิทัลวอลเล็ต” ที่เจอโรคเลื่อนมาหลายครั้ง
ยิ่งล่าสุด ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ไปแสดงวิสัยทัศน์ ประเดิมเวทีแรก หลังร้างไปนานกว่า 18 ปี โชว์วิชั่นไทยแลนด์ 2024 เปิดวิสัยทัศน์เชิงบริหาร โดยเฉพาะด้านเศรษฐกิจ ประกาศชัด ว่า ดิจิทัลวอลเล็ตแจกเงินสด 14.5 ล้านคน ให้ “กลุ่มเปราะบาง-คนพิการ” ได้ก่อน จากการตั้งงบกลางปี 67 ที่ต้องใช้ภายใน ก.ย. 67 ถือเป็นการยิงปืนนัดเดียวได้นก 3 ตัว ทั้งกระตุ้นเศรษฐกิจให้ชุ่มฉ่ำทั่วประเทศ ให้คนรากหญ้าเรียนรู้เทคโนโลยี ขยายผลเป็น One-Site ให้บริการภาครัฐต่อ
นอกจากนี้ “นายกฯ อิ๊งค์” ยังมีปัญหาอื่นๆ ที่ตามมาอีก ทั้งผลกระทบจากปัญหายาเสพติดที่กลับมาแพร่ระบาด เจ้าหน้าที่รัฐจับกุมได้ปริมาณเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ หรือแม้แต่ปัญหาเร่งด่วนอย่างน้ำท่วม ภาคเหนือ ภาคกลาง ที่รัฐบาลต้องเร่งช่วยเหลือและเยียวยาผู้ประสบภัย
ซึ่งปัญหาความล่าช้าในการตั้ง ครม. “อิ๊งค์ 1” เป็นเพราะ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และ “ผู้มีอำนาจตัวจริง” ให้ความสำคัญเป็นอย่างมากในการตรวจสอบคุณสมบัติของบุคคลที่จะเข้ามาเป็นรัฐมนตรี ที่ต้องสแกนกันอย่างละเอียด มีทีมงานไล่ตรวจสอบเช็กข้อมูลให้ชัดเจน ในคดีค้างเก่า เรื่องการถือหุ้น โดยใช้บริการหน่วยงานเข้ามาเอกซ์เรย์ อาทิ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) กองทะเบียนประวัติอาชญากร สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และมีคณะกรรมการกฤษฎีกา เป็นด่านสุดท้าย
เพื่อป้องกันความผิดพลาด ไม่ให้เกิดประวัติศาสตร์ซ้ำรอย จากกรณีของ “เสี่ยนิด” เศรษฐา ทวีสิน อดีตนายกรัฐมนตรี นักธุรกิจหมื่นล้าน ผู้สั่งสมประสบการณ์บริหารธุรกิจอสังหาริมทรัพย์มากว่า 30 ปี ที่ต้องปิดฉากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี 358 วัน จำต้องลุกออกไปด้วยคำสั่งศาลรัฐธรรมนูญ จากการแต่งตั้ง “พิชิต ชื่นบาน“ อดีตทนายความของ 2 อดีตนายกรัฐมนตรี จากตระกูลชินวัตร เป็น รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี “ทั้งที่รู้อยู่แล้วว่าขาดคุณสมบัติหรือมีลักษณะต้องห้าม” ถือว่าไม่มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ มีความผิดมาตรฐานทางจริยธรรมร้ายแรง
ดังนั้นบรรดา “ว่าที่รัฐมนตรีตัวตึง” ที่สังคมจับจ้อง ถูกตั้งคำถามถึง “คุณสมบัติ-จริยธรรม” จากอดีตถึงปัจจุบัน จนทำให้กระบวนการตั้ง ครม. ต้องยืดเยื้อ ล่าช้าไปกว่าไทม์ไลน์เดิมที่ตั้งไว้ แต่ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม หากโฉมหน้า ครม. “อิ๊งค์ 1” ที่ออกมา ยังเต็มไปด้วย “รัฐมนตรีตัวตึง” ที่สังคมตั้งคำถาม เกิดเสียง “ยี้” ตามมา ย่อมส่งผลกระทบต่อ “แพทองธาร ชินวัตร” นายกรัฐมนตรี นักการเมืองรุ่นใหม่ ที่ถือเป็นความหวังของประเทศอย่างแน่นอน
ดังนั้น “นายกฯ อิ๊งค์” ต้องเลือก และตัดสินใจฟอร์มทีม ครม. “อิ๊งค์ 1” ให้ดีที่สุด เพื่อเรียกความเชื่อมั่นจากทั้งในและนอกประเทศ
อย่าให้คนเพียงไม่กี่คน มาส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์และความน่าเชื่อถือของรัฐบาล.