โลกกำลังก้าวเข้าสู่ยุคแห่งการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ โดยมีเป้าหมายสำคัญร่วมกันในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิให้เป็นศูนย์ หรือ ‘Net Zero’ เพื่อบรรเทาผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวส่งผลกระทบต่อทุกภาคส่วนโดยเฉพาะอย่างยิ่งใน ‘ภาคพลังงาน’

แน่นอนว่าการจะก้าวไปสู่เป้าหมาย Net Zero ได้นั้น จำเป็นต้องมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในระบบพลังงาน ด้วยการหันมาใช้พลังงานสะอาดหรือพลังงานหมุนเวียนแทนฟอสซิล ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่ว่านี้ จะนำมาซึ่งความต้องการใช้ไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล

โดยผลวิจัยคาดการณ์ว่าภายในปี 2050 ความต้องการผลิตไฟฟ้าทั่วโลกจะพุ่งสูงขึ้นถึง 3 เท่า และจากความต้องการใช้ไฟฟ้าที่พุ่งสูงขึ้นนี้ ก็จะส่งผลต่อไปยังความต้องการสายไฟทั่วโลกที่เพิ่มขึ้น ทะลุ 80 ล้านกิโลเมตร ซึ่งเป็นตัวเลขที่สะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญของโครงสร้างพื้นฐานด้านไฟฟ้าในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและสังคมโลก รวมถึงความท้าทายและโอกาสใหม่ๆ ในภาคอุตสาหกรรมพลังงาน

สอดคล้องกับการที่ ‘บางกอกเคเบิ้ล’ แสดงวิสัยทัศน์ครบรอบ 60 ปี ประกาศสนับสนุนความต้องการสายไฟทั่วโลกที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ภายใต้แนวคิด ‘3 เซฟ’ ดังนี้ 1. เซฟคน ยกระดับความปลอดภัย ปกป้องบ้านจากอันตรายที่มองไม่เห็น มอบความปลอดภัยให้ทุกคนในครอบครัว ด้วยสายไฟและสายเคเบิลที่ผลิตจากวัสดุเกรดพรีเมียม มีคุณภาพสูงสุด อาทิ สายไฟฟ้าจากทองแดงบริสุทธิ์ 99.99% อะลูมิเนียมบริสุทธิ์ 99.7% ที่นำไฟฟ้าได้ดีเยี่ยม ทนทานต่อการกัดกร่อน ปลอดภัยต่อการใช้งาน สายทนไฟที่ผ่านการทดสอบคุณสมบัติทนความร้อนได้ดี,

2. เซฟเมือง โดยร่วมพัฒนาระบบไฟฟ้าของประเทศ รองรับการขยายตัวของเมืองและกลุ่มอุตสาหกรรมต่างๆ ด้วยสายไฟฟ้าที่ผ่านการรับรองมาตรฐานคุณภาพชั้นนำระดับนานาชาติ ที่ผ่านการทดสอบคุณภาพสายไฟในห้องปฏิบัติการทดสอบทางไฟฟ้าที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย รวมถึงมีการบริการรถทดสอบสายไฟฟ้าแรงดันสูงเคลื่อนที่บริเวณหน้างานของลูกค้า ตลอดจนการพัฒนาโปรดักท์ใหม่ๆ ที่สอดคล้องกับทิศทางการพัฒนาเมืองอัจฉริยะ (Smart City)

และ 3. เซฟสิ่งแวดล้อม ด้วยการอำนวยความสะดวกสำหรับการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาด เดินหน้าพัฒนานวัตกรรมด้านพลังงานหมุนเวียนที่เกี่ยวข้องกับสายไฟฟ้า เพื่อเชื่อมโยงประเทศไทยสู่เส้นทางอนาคตในการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ โดย บางกอกเคเบิ้ล ได้เป็นผู้ผลิตสายไฟฟ้าและเคเบิลรายเดียวในประเทศไทยที่เข้าร่วมในสมาคมเครือข่ายการพัฒนาเพื่อความยั่งยืนขององค์การสหประชาชาติ (UN Global Compact Network Thailand: UNGCNT) และคว้าการรับรองอุตสาหกรรมสีเขียว ระดับที่ 4 ในการเดินหน้าธุรกิจที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและยั่งยืน

“แนวคิด 3 เซฟ จะรองรับการขยายตัวของเมืองในอนาคต และครอบคลุมทุกความต้องการใช้งานของลูกค้าทั้ง 7 กลุ่มของบริษัท โดยในระยะสั้น บริษัทได้พัฒนาสินค้าใหม่ๆ ที่ตอบโจทย์แนวคิดดังกล่าว สายไฟฟ้าแรงดันสูงพิเศษ (Extra High Voltage) ชนิด 230 กิโลวัตต์ รุ่น 230kV CE(CAS) รองรับการยกระดับโครงสร้างพื้นฐานทางไฟฟ้า การนำสายไฟลงดินเพิ่มสุนทรียภาพของเมือง การพัฒนาเมืองอัจฉริยะ (Smart City) ลดผลกระทบสิ่งแวดล้อม ตัวนำอะลูมิเนียมคอมโพสิตหลัก (ACCC® Conductor) ซึ่งบริษัทเป็นผู้ผลิตรายแรกในไทย เพื่อใช้อัปเกรดระบบไฟฟ้าให้รองรับพลังงานหมุนเวียน ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ขณะเดียวกัน บริษัทจะเพิ่มกำลังการผลิตรวมจาก 55,000 ตันต่อปีในปัจจุบัน สู่ 60,000 ตันต่อปีภายในสิ้นปีนี้ และเพิ่มส่วนแบ่งตลาดสายไฟจาก 25% เป็น 35%” ‘พงศภัค นครศรี’ กรรมการบริหาร บริษัท สายไฟฟ้าบางกอกเคเบิ้ล จำกัด กล่าว

นอกจากนี้ ในระยะกลาง 3 ปี (พ.ศ.2567-2569) บางกอกเคเบิ้ลยังได้มีการเดินหน้าอย่างเต็มกำลัง เพื่อมุ่งสู่การเป็นผู้นำธุรกิจสายไฟฟ้าและสายเคเบิลในภูมิภาคอาเซียน ด้วยการตอบโจทย์ความต้องการไฟฟ้าของทั้งไทยและโลก ผ่าน 3 กลยุทธ์หลัก ได้แก่ 1.การขยายสู่ตลาดภูมิภาค (Global Expansion) นำงานวิจัยและพัฒนา (R&D) ที่ล้ำสมัยของบริษัท นำเสนอเป็นสินค้าที่โดดเด่นสู่เวทีโลก โดยเฉพาะในภูมิภาคอาเซียน สร้างความเข้มแข็งให้กับเครือข่ายและซัพพลายเชนของบริษัท 2.การพัฒนาโรงงานอัจฉริยะ (Smart Factory) บูรณาการเทคโนโลยีใหม่ๆ และปัญญาประดิษฐ์ (AI) เข้ามาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสายไฟ มุ่งสู่อุตสาหกรรม 4.0 และ 3.การเติบโตอย่างยั่งยืน (Sustainable Growth) ฉลอง 60 ปีบางกอกเคเบิ้ล ด้วยการยึดมั่นบริหารจัดการอย่างมีธรรมาภิบาล ให้ความสำคัญกับความรับผิดชอบต่อสังคม ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และผลิตสายเคเบิ้ลที่จำเป็นในการรองรับความต้องการด้านไฟฟ้าของโลกยุค Net-Zero

“เราเห็นความต้องการสายไฟฟ้าเพิ่มขึ้นจากหลากหลายปัจจัย ทั้งนโยบายการพัฒนาเมืองอัจฉริยะ หรือ Smart City จากทั่วประเทศ การเดินหน้าแผนพัฒนาโครงข่ายไฟฟ้าให้มีความทันสมัย การขยายตัวต่อเนื่องของธุรกิจที่ต้องการใช้ไฟฟ้ามหาศาล เช่น การดึงพลังงานมาใช้ในระบบ Data Center ไปจนถึงการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานทดแทนของทั้งภาครัฐและภาคเอกชน ให้สอดคล้องกับทิศทาง Net Zero ซึ่งสายไฟฟ้าจะเป็นอีกหนึ่งกุญแจสำคัญ ที่จะช่วยเร่งการเปลี่ยนผ่านสู่การใช้พลังงานหมุนเวียน และขับเคลื่อนอนาคตของเมืองต่อไปได้” พงศภัค กล่าวทิ้งท้าย