“อุตสาหกรรมพลังงาน” ซึ่งเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ก่อให้เกิดปัญหาเหล่านี้ ก็จำเป็นต้องปรับเปลี่ยนบทบาทและมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาอย่างจริงจัง

จากเดิมที่ธุรกิจด้านพลังงานมุ่งเน้นไปที่การผลิตพลังงานเพื่อตอบสนองความต้องการของตลาด แต่ปัจจุบันธุรกิจเหล่านี้ เริ่มหันมาให้ความสำคัญกับกระบวนการผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก การพัฒนาเทคโนโลยีพลังงานหมุนเวียน และการบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืน กลายเป็นเป้าหมายสำคัญของธุรกิจพลังงานขนาดใหญ่ทั่วโลก เช่นเดียวกับที่ “บมจ.ราช กรุ๊ป” ประกาศสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงาน เพื่อขับเคลื่อนการเติบโตอย่างยั่งยืน และเดินหน้าผลักดันเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอนของบริษัทฯ

นิทัศน์ วรพนพิพัฒน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.ราช กรุ๊ป ระบุว่า การขับเคลื่อนเป้าหมายการเติบโตนับจากนี้ บริษัทฯ จะเน้นไปยัง 3 เรื่องสำคัญ คือ 1.เพิ่มประสิทธิภาพการบริหารสินทรัพย์ โดยเฉพาะโรงไฟฟ้าที่เป็นแหล่งรายได้หลักและกระจายอยู่ในหลายประเทศ จะนำดิจิทัลและปัญญาประดิษฐ์เข้ามาช่วยในการติดตามการดำเนินงานและการวิเคราะห์ประสิทธิภาพของโรงไฟฟ้าให้ดียิ่งขึ้น 2.บริหารโครงการในมือที่มีอยู่แล้วให้เสร็จตามเป้าหมาย ปัจจุบันมี 15 โครงการ กำลังผลิตตามสัดส่วนการ
ถือหุ้น รวม 1,773 เมกะวัตต์ ที่อยู่ระหว่างการพัฒนาและก่อสร้าง และ 3.การลงทุนขยายธุรกิจ ได้ปรับกลยุทธ์การลงทุนให้เน้นโครงการที่อยู่ในแนวทาง การเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานของประเทศเป็นสำคัญ ได้แก่ ประเทศไทย สปป.ลาว ออสเตรเลีย และอินโดนีเซีย แต่ละประเทศได้กำหนดกรอบการพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าที่ครอบคลุมกำลังการผลิตพลังงานทดแทนและเชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติ

“ปีนี้เราได้ทบทวนและกำหนดทิศทางการดำเนินธุรกิจ แน่นอนว่า ยังคงเน้นไปที่ธุรกิจผลิตไฟฟ้าและพลังงาน โดยวางกลยุทธ์ให้สอดคล้องกับบริบทการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานของโลกและประเทศ รวมถึงศักยภาพและขีดความสามารถของบริษัทฯ ส่วนรูปแบบการลงทุนนั้น จะให้ความสำคัญกับโครงการประเภทกรีนฟิลด์และบราวน์ฟิลด์มากขึ้น โดยจะเข้าร่วมพัฒนาโรงไฟฟ้าในประเทศเป้าหมาย ซึ่งประเทศไทยและอินโดนีเซียมีโอกาสลงทุนโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์และก๊าซธรรมชาติ สปป.ลาว มีศักยภาพที่จะลงทุนด้านพลังงานนํ้าเพื่อส่งจำหน่ายให้กับประเทศไทย ส่วนออสเตรเลียมีศักยภาพพัฒนาโครงการพลังงานลม แสงอาทิตย์ ระบบกักเก็บพลังงานและโครงการประเภท Synchronous Condenser ที่ต่อยอดจากโรงไฟฟ้า ก๊าซธรรมชาติ เราเชื่อมั่นว่าการดำเนินตามแนวทางแผนกลยุทธ์ที่วางไว้จะทำให้ ราช กรุ๊ป เดินหน้าไปพร้อมกับการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานและสามารถขยายธุรกิจสร้างการเติบโต ได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน”

นอกจากนี้ ราช กรุ๊ป ยังได้เริ่มศึกษาโมเดลการผลิตและจำหน่ายไฟฟ้ารูปแบบใหม่ และเทคโนโลยีพลังงานอนาคต ที่สามารถต่อยอดจากสินทรัพย์และศักยภาพความสามารถของ บริษัทฯ ที่มีอยู่แล้ว อย่าง “โครงการกรีนไฮโดรเจน” ได้ร่วมกับ “บีไอจี” ในการพัฒนาการผลิตไฮโดรเจนจากพลังงานทดแทนจากโครงการของบริษัทฯ ที่มีอยู่ในประเทศไทย สปป.ลาว ออสเตรเลีย เพื่อจำหน่ายภาคอุตสาหกรรม ภาคขนส่ง และการผลิตไฟฟ้าในอนาคต, ระบบกักเก็บพลังงานในรูปแบบแบตเตอรี่ ซึ่งบริษัทย่อยในออสเตรเลียกำลังศึกษาโครงการขนาด 100 MW/200 MWh ในรัฐนิวเซาท์เวลส์, โครงการซื้อขายไฟฟ้าพลังงานสะอาดโดยตรง ในไทย ซึ่งกำลังร่วมกับพันธมิตรศึกษาโครงการนำร่องในนิคมอุตสาหกรรม.