ล่าสุดเราก็ได้เห็นสัญญาณการ ปิดสวิตช์ “4 ป.” โดย “ทักษิณ ชินวัตร” อดีตนายกรัฐมนตรี ที่นอกจากกลับจากต่างแดนคืนสู่เมืองไทยสุดฮือฮา รวมทั้งเดินสายลงพื้นที่รวบรวมไพร่พลเหล่าบ้านใหญ่ พร้อมโชว์ความเหิมเกริม และแสดงวิสัยทัศน์การพัฒนาประเทศ ที่สำคัญสามารถผลักดันลูกสาวคนเล็ก “แพทองธาร ชินวัตร” ขึ้นนั่งเก้าอี้ นายกรัฐมนตรีคนที่ 31 ท่ามกลางกระแสความชุลมุนวุ่นวายของการจัดตั้ง คณะรัฐมนตรี ชุดใหม่ ในนาม “ครม.แพทองธาร 1”

สำหรับแรงเคลื่อนการเมืองยามนี้ หลังจากผ่านพ้นการเลือกตั้งใหญ่เมื่อปี 2566 ก็ได้เห็นกันแล้วว่าพลังของกลุ่มก๊วนของ “พี่น้อง 3 ป.” ลดลงอย่างต่อเนื่อง จนถูกมองว่าเสมือนปิดสวิตช์ “3 ป.” แล้ว โดย “ป.” แรก อย่าง “บิ๊กป๊อก-พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา” โบกมือลาการเมืองเป็นคนแรก หลังจากพ้นตำแหน่ง รมว.มหาดไทย และ “ป.” ที่ 2 นั่นคือ “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” อดีตนายกรัฐมนตรี และ อดีตหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ ที่ได้รับการแต่งตั้งเป็นองคมนตรี  

ตามด้วย “ป.” ที่ 3 ซึ่งกำลังเผชิญชะตากรรมทางการเมืองขณะนี้ คือ “บิ๊กป้อม-พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ” หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ หลังจาก “สรวงศ์ เทียนทอง” เลขาธิการพรรคเพื่อไทย ประกาศมติของ พรรคเพื่อไทย ให้เขี่ย “พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.)” พ้นสถานะ พรรคร่วมรัฐบาล

ส่งผลให้พลพรรคในค่าย “ป.ป้อม” ตบเท้าเข้าให้กำลังใจ พร้อมกับขอให้ทำหน้าที่หัวหน้าพรรคต่อไป แม้โควตารัฐมนตรี 4 ตำแหน่งในนาม “พปชร.” ถูก “เพื่อไทย” ริบหมดแล้ว แบ่ง 2 ที่นั่ง ให้กลุ่มของ “ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า” รมว.เกษตรและสหกรณ์ ส่ง “นฤมล ภิญโญสินวัฒน์-อิทธิ ศิริลัทยากร” ครองเก้าอี้รัฐมนตรี “โควตาคนนอก”

อีก 2 เก้าอี้รัฐมนตรี ถูกส่งมาทอดไมตรีเชิญชวน “พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.)” ให้ข้ามขั้วมาร่วมรัฐนาวา “ครม.อิ๊งค์ 1” ส่งผลให้พรรคการเมืองเก่าแห่งนี้ กลายเป็น “ป.” ที่ 4 ซึ่งโดน “ทักษิณ” ตีแตกเป็น 2 เสี่ยง โดยซีกแรกอยู่ในมือของ “เฉลิมชัย ศรีอ่อน” หัวหน้าพรรค ร่วมกับ “เดชอิศม์ ขาวทอง” สส.สงขลา และเลขาธิการพรรค มีสส. 21 เสียง พ่วงเสียงกรรมการบริหารพรรคยกเซต และซีกที่ 2 นำโดย “ชวน หลีกภัย” อดีตผู้นำทางจิตวิญญาณของ “ค่ายสีฟ้า” มี สส. เพียง 4 เสียง

นอกจากนี้มีการปล่อยข่าวลือด้วยว่า อาจถึงขั้นขับ “นายหัวชวน” พ้นพรรค ร้อนถึงบรรดาแฟนคลับค่ายสะตอ ระดมส่งกำลังใจและส่งเสียง #saveชวน #saveประชาธิปัตย์ คัดค้านการร่วมรัฐบาลของพรรคเพื่อไทย

ถึงอย่างไรก็ต้องจับตาดูกันต่อไปว่า การตัดสินใจครั้งนี้ของ “เฉลิมชัย” จะนำพา “ประชาธิปัตย์” ให้เสี่ยงสูญพันธุ์ในสนามเลือกตั้งรอบหน้าหรือไม่ เหมือนกับที่หลายๆ คนในพรรค กำลังนั่งกุมขมับกังวลอยู่

ทั้งหมดนี้สะท้อนภาพรวมเรื่องราวการชิงอำนาจการเมืองที่ดูจะเข้าทำนองสุภาษิตจีนที่ว่า “ลูกผู้ชายแก้แค้นสิบปีก็ยังไม่สาย”

และการเดินเกมของ “อดีตนายกฯ ทักษิณ” บ่งชี้แล้วว่าแก้แค้น 17 ปี ก็ยังไม่สาย และปิดสวิตช์ “4 ป.” ได้สมใจ