จากกรณีข่าวคุณแม่รายหนึ่งได้ออกมาโพสต์ร้องทุกข์ หลังเกิดเหตุการณ์สุดสลดใจ ที่ตนเองต้องเสียบุคคลที่รักและเคารพ รวมถึงชีวิตของลูกชายที่ต้องเปลี่ยนไปแบบไม่มีวันหวนคืน จากอุบัติเหตุรถทัวร์ขับมาชน ซ้ำฟ้องร้องคดีความยาวนานกว่า 4 ปี ยังไม่เคยได้รับการเยียวยาจากคู่กรณีตามที่ได้เสนอข่าวไปก่อนหน้านี้

ล่าสุดเมื่อวันที่ 28 ส.ค. 2567 ผู้สื่อข่าวรายงานว่าสาวคนดังกล่าวได้ออกมาเคลื่อนไหวอีกครั้ง พร้อมเขียนข้อความเล่าเส้นทางชีวิตลูกชายที่ประสบอุบัติเหตุและเธอต้องผ่านอุปสรรคอะไรมาบ้างตลอดระยะเวลา 4 ปี

โดยเขียนข้อความระบุว่า กว่าเด็กคนหนึ่งจะพยายามมีชีวิตรอดมาถึงวันนี้ได้ ไม่ใช่เรื่องง่าย หลังเกิดอุบัติเหตุมีเลือดออกในสมอง หมอไม่กล้าผ่าตัด กลัวไม่รอด หลังออกจากห้อง NICU ลงมาหอผู้ป่วย จนดีขึ้นได้กลับบ้าน สังเกตเหตุเห็น ตาไม่ปกติ ตาเหลือกมองลงล่าง (sunset eye) น้ำคั่งในกะโหลกศีรษะ

การรักษาคือ ต้องระบายน้ำในโพรงสมอง เพราะมันเบียดกับเนื้อสมอง ซึ่งอันตรายมาก ต้องผ่าตัด ช่วงนั้นโควิด ปี 63 การผ่าตัดเป็นเรื่องยาก ต้องฉุกเฉินเท่านั้น พ่อแม่ก็ไปคุยกับหมอ ขอร้องหมอ จนได้นัดวันผ่า

ถึงวันนัดผ่าตัด พ่อแม่ก็กังวลแต่ก็ต้องยอม แม่อุ้มโอ๊ตไปส่งถึงเตียงผ่าตัด จนดมยาเสร็จ แม่ออกมาคอยข้างนอก เวลาผ่านไปหลายชั่วโมงเหมือนกัน จนเจ้าหน้าที่โทรฯตามให้มาดูลูกที่ห้องพักฟื้น น้องน่าจะเริ่มฟื้นตัวแล้ว

ผ่าตัดใส่สายระบายน้ำจากโพรงสมองลงช่องท้อง ก็จะมีแผลที่หัว และที่ท้อง แผลเย็บสวยดี ฟื้นตัวไวได้กลับบ้านเร็ว ตอนนั้นโควิดพีคมาก หมอเร่งให้กลับ เดี๋ยวติดเชื้อมามันจะหนัก

ปลายปี 63 ป่วยอีกเป็น rsv มา รพ.บ่อยจนรับเชื้อไปเลย NICU อีกแล้ว เพราะเชื้อลงปอด ถอดออกซิเจนออกไม่ได้เลยต้องใส่ตลอดเวลานอน รพ.เกือบเดือน กลับบ้านพร้อมถังออกซิเจน ซื้อถังออกซิเจน 2 ถัง เครื่องผลิตออกซิเจน 1 เครื่อง

ออกจาก รพ.ได้ไม่กี่วันก็ต้องกลับเข้าไปใหม่ ตรวจพบเชื้อ rsv (เดิม) + enterovirus นอน รพ.อีกเกือบเดือน แต่คราวนี้ย้ายมาที่รพ.จุฬาฯ จำได้ว่าเกือบได้ countdown ฉลองปีใหม่ที่ รพ. (ออกจากรพ. วันที่ 30/12/63)

ต้นปี 64 มานอนทำ EEG ตรวจวัดคลื่นไฟฟ้าสมอง ที่จุฬาฯ เพราะมีอาการชักตลอดทุกวัน เป็นอาการชักแบบผวาซึ่งเจออาการชักครั้งแรก 31/05/63 เป็นแบบนี้เรื่อยมา มาทำ EEG test เจอคลื่นชักเต็มสมองเลย หลายจุดมาก ไม่สามารถผ่าตัดได้ ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ ก็ต้องกินยากันชักควบคุมอาการ

ปี 64 ได้ทำกายภาพพาไปกายภาพหลายที่เลย แม่ต้องให้ครูสอนแล้วกลับมาทำต่อที่บ้าน ทำกายภาพเพื่อไม่ให้ข้อติด ถ้าข้อติดต้องผ่าตัดอีก สงสารลูกเวลากายภาพจะร้องไห้ไม่อยากทำ อาจจะตึงหรือเจ็บ

ตอนนี้เราย้ายการรักษาของลูกมาที่ รพ.จุฬาฯ เกือบทั้งหมดแล้ว ประมาณเดือนมีนา คุณหมอศัลยกรรมสมองนัดทำ ICP ดูความดันในกะโหลกศีรษะ ปรากฏว่า ความดันในกะโหลกศีรษะสูง ส่งทำ CT-scan น้ำในโพรงสมองยังเยอะ เบียดเนื้อสมอง อาจเกิดจากว่าสายระบายน้ำในโพรงสมองตัน วิธีการคือ ผ่าตัดเปลี่ยนสายระบายน้ำในสมอง

นี่คือการผ่าตัดครั้งที่ 2 พักฟื้นที่ รพ.ประมาณ 2 สัปดาห์ก็ได้กลับบ้าน คุณหมอติดตามอาการเป็นระยะจนถึงตอนนี้ อาการ sunset eye ตาเหลือกมองลงล่างหายไป คุณหมอบอกว่าเนื้อสมองถูกน้ำในสมองเบียดนานเกินไป ทำให้สมองเสียหาย บางส่วนที่ไม่เสียหายก็จะฟื้นฟูได้บ้าง

โอ๊ตจึงมีพัฒนาการล่าช้ากว่าวัยเยอะ กว่าจะโตมาได้แต่ละวันไม่ง่ายเลย กายภาพนี่ร้องทุกครั้ง แม่แซวว่าจะร้องจนโตเป็นหนุ่มเลยใช่มั้ย

ออกซิเจนเพิ่งมาเอาออกได้เมื่อปี 2566 บางครั้งออกไปไหนก็ต้องแบกถังออกซิเจนไปด้วย ลากเครื่องผลิตไปด้วยก็มี ตอนนี้สบายขึ้นเวลาไป รพ.

ยากันชักยังต้องกินอยู่ ปลายปีนี้คุณหมอมีแพลนจะค่อย ๆ ลดยากันชักบางตัว เพราะโอ๊ตไม่มีอาการชักแล้วตั้งแต่ปี 2565 โอ๊ตกิน depakine กับ keppra แล้วดี

เดือนหน้าจะ 5 ขวบแล้ว ผ่านอะไรมาเยอะ ผ่าตัด 2 ครั้ง ผ่านการเจาะเลือดแบบนับครั้งไม่ถ้วน เพราะหาเส้นยาก เจาะทีเกือบ 10 แผลทุกครั้ง หายากจริง ๆ กว่าจะเป็นโอ๊ตแบบทุกวันนี้ แม่เสียน้ำตาเป็นโอ่งเลยแหละ แต่ดีใจนะที่โอ๊ตยังอยู่กับพวกเรา สร้างเสียงหัวเราะให้พวกเราได้ ตอนนี้แสบมากค่ะ มีความรู้เรื่องในบ้างครั้ง รักเสมอ รักที่สุดเลยคนเนี้ย

หลังจากที่โพสต์ถูกเผยแพร่ออกไป บนโลกออนไลน์ต่างเข้าไปคอมเมนต์และส่งกำลังใจให้ครอบครัวของเธอกันล้นหลาม พร้อมวอนขอหน่วยงานตรวจสอบข้อเท็จจริง กรณีที่ไม่เคยได้รับการเยียวยาเลย….

ขอบคุณข้อมูลและรูปภาพ : @Naphatsawan Kat Klinnin