นายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติหรือสภาพัฒน์ (สศช.) แถลงภาวะสังคมไทยไตรมาส 2/2567 ว่า ภาพรวมการจ้างงานในไตรมาส 2 (เมษายน-พฤษภาคม 2567) ที่ผ่านมา สถานการณ์แรงงานภาพรวมการจ้างงานปรับตัวลดลง โดยผู้มีงานทำมีจำนวนทั้งสิ้น 39.5 ล้านคน ลดลงจากช่วงเดียวกันของปี 2566 0.4% ซึ่งเป็นผลจากการจ้างงานภาคเกษตรกรรมที่ลดลง 5% ขณะที่สาขานอกภาคเกษตรกรรมขยายตัวที่ 1.5% อัตราการว่างงานปรับเพิ่มขึ้น อยู่ที่ 1.07% หรือมีผู้ว่างงานจำนวน 4.3 แสนคน 

ทั้งนี้อัตราการว่างงานในไตรมาสที่ 2 ของปีนี้ถือว่าสัดส่วนการจ้างงานเพิ่มสูงขึ้นครั้งแรกหลังจากช่วงหลังการฟื้นตัวจากสถานการณ์โควิด-19 ในปี 2565 หรือเพิ่มขึ้นในรอบเกือบ 2 ปี โดยเป็นการเพิ่มขึ้นจากกลุ่มที่เคยทำงานมาก่อน ขณะที่กลุ่มที่ไม่เคยทำงานมาก่อนมีจำนวนลดลง โดยเฉพาะกลุ่มที่จบการศึกษาระดับอุดมศึกษา

ขณะที่ภาคการผลิตโดยเฉพาะเอสเอ็มอีมีการเลิกกิจการไปบางส่วนจากผลกระทบในเรื่องการที่ต้นทุนทางการเงินสูง เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับสูงเป็นเวลานาน รวมทั้งการที่มีสินค้าราคาถูกจากต่างประเทศเข้ามาตีตลาดทำให้เอสเอ็มอีบางรายแข่งขันไม่ได้ต้องเลิกกิจการไป ทำให้มีแรงงานที่ตกงานจากปัญหานี้ด้วย

สำหรับประเทศตามสถานการณ์แรงงานของไทยมีประเด็นที่ต้องติดตามในระยะถัดไป มี 3 ประเด็น ที่ต้องให้ความสำคัญในระยะถัดไป ดังนี้ 

1. การปรับตัวของแรงงานให้มีทักษะที่สอดคล้องกับทักษะที่จำเป็นในอนาคต โดยปัจจุบันภาคธรกิจให้ความสำคัญกับการนำเทคโนโนโลยีดิจิทัลมาช่วยในการพัฒนาการทำงางานเพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขันทั้งกับคู่แข่งภายในและภายนอกประเทศ โดยรายงาน Future of Job Report 2023 ของ World Economic Forum (WEF) พบว่า 44 % ของทักษะแรงงานจะหายไปในอีก 5 ปีข้างหน้า อีกทั้งภายในปี 2027 งานในภาคธุรกิจกว่า 42% จะถูกทดแทนด้วยระบบอัตโนมัติ และจะนำไปสู่การเลิกจ้างแรงงานจำนวนมาก แรงงานจึงต้องปรับตัวให้ทันเพื่อลดผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว โดยรายงานยังระบุอีกว่า ทักษะการคิด วิเคราะห์ (Analytical Thinking) และทักษะความคิดสร้างสรรค์ (Creative Thinking) เป็นทักษะที่สำคัญที่สุด ในทักษะหลัก (Core Skill) ขณะที่ทักษะด้านความรู้เกี่ยวกับเทคโนโลยี (Technological Literacy) เป็นทักษะที่มีความสำคัญมากขึ้นเป็นอันอันดับที่ 3 ทั้งนี้ สำหรับทักษะความรู้ด้านเทคโนโลยี ผลการสำรวจของไม่โครซอฟต์ประเทศไทย ร่วมกับ LinkedIn ยังพบประเด็นเพิ่มเติมว่า ผู้บริหารในไทยกว่าร้อยละ 74 ไม่ต้องการจ้างพนักงานที่ไม่มีทักษtทางด้าน AI และกว่า 90% เลือกที่จะจ้างพนักงานที่มีประสบการณ์น้อยแต่มีทักษะด้านการใช้ AI แทนการเลือกพนักงานที่มีประสบการณ์สูงกว่าแต่ขาดทักษะในด้านนี้อีกด้วย

2. ผลกระทบของการขาดสภาพคล่องของ SMEs และปัจจัยเสียงทางเศรษฐกิจที่มากขึ้นต่อการจ้างงาน โดย SMEs เป็นกลุ่มธุรกิจที่รองรับแรงงานไว้เป็นจำนวนมาก และในปี 2566 มีสัดส่วนของมูลค่าผลิตภัตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ถึง 35.2% อย่างไรก็ตาม ปัจจุบัน SMMES กำลังประสบปัญหาด้านสภาพคล่อง สะท้อนจากสัดส่วนหนี้เสีย (NPLs) ต่อสินเชื่อรวมของ SMEs ในไตรมาสสี่ ปี 2566 ที่อยู่ที่ 7.2% เพิ่มขึ้น 4.6% ในไตรมาสหนึ่ง ปี 2562 โดยเป็นผลมาจากกำลังซื้อภายในประเทศที่ชะลอตัวลง เนื่องจากสภาพเศรษฐกิจและระดับหนี้ครัวเรือน ส่งผลให้ผู้บริโภคระมัดระวังการใช้จ่าย ขณะที่สถาบันการใรเงินมีความเข้มงวดในการให้สินเชื่อแก่ภาคธุรกิจมากขึ้น

นอกจากนี้ การปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยนโยบายยังส่งผลต่อต้นทุนและเป็นข้อจำกัดในการรักษาสภาพคล่องของธุรกิจ โดยดัชนีต้นทุนของธุรกิจรายย่อย และธุรกิจขนาดกลาง ในปี 2566 เพิ่มขึ้น 15.1% และ 2.2% ตามลำดับทำให้ SMEs สามารถทำกำไรได้ลดลง ซึ่งสถานการณ์เช่นนี้อาจส่งผลต่อเนื่องไปสู่การเลิกจ้างแรงงาน SMEs ได้ จึงอาจต้องมีการดำเนินนโยบายที่สามารถสร้างกำลังชื่อได้อย่างยังยืน รวมถึงการควบคุมต้นทุนด้านต่าง ๆ ตลอดจนการสร้างองค์ความรู้ในการบริหารจัดการโดยเฉพาะด้านการเงินให้แก่ SME

3. ต้องติดตามผลกระทบของอุทกภัยต่อผลผลิตทางการเกษตรและรายได้ของเกษตรกร โดยประเทศไทยได้เข้าสู่ฤดูฝนแล้วตั้งแต่ช่วงต้นเดือนพฤษภาคม และได้รับอิทธิพลจากร่องมรสุมและมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ ทำให้ในบางพื้นที่มีฝนตกหนักต่อเนื่อง ซึ่งข้อมูลของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พบว่า สถานการณ์อุทกภัยระหว่างวันที่ 16 กรกฎาคม-1 สิงหาคม 2567 มีจังหวัดที่ได้รับผลกระทบด้านการเกษตรจำนวน 15 จังหวัดครอบคลุมเกษตรกร 47,944 ราย รวมพื้นที่ 308,238 ไร่