สำนักข่าวเอเอฟพี รายงานจากเมืองกาซาซิตี ฉนวนกาซา เมื่อวันที่ 27 ส.ค. ว่า คำสั่งอพยพของรัฐบาลเทลอาวีฟ มีขึ้นหลังสหรัฐประกาศถึง “ความคืบหน้า” ในการเจรจาสงบศึกในฉนวนกาซา ที่กรุงไคโร ประเทศอียิปต์ แม้สถานการณ์ระหว่างอิสราเอล กับกลุ่มฮิซบอลเลาะห์ในเลบานอน ทวีความตึงเครียดขึ้นอีกขึ้น เป็นช่วงเวลาสั้น ๆ ก็ตาม

กระนั้น คำสั่งของกองทัพอิสราเอลที่ระบุให้ประชาชนอพยพออกจากพื้นที่ส่วนหนึ่งของเมืองเดอีร์ เอล-บาลาห์ ทางตอนกลางของฉนวนกาซา “โดยทันที” ส่งผลให้พลเรือนจำนวนมากต้องรีบเดินทางออกไปอย่างรวดเร็ว เช่นเดียวกับเจ้าหน้าที่ของยูเอ็น และองค์กรอิสระ (เอ็นจีโอ) ที่ปฏิบัติภารกิจช่วยเหลือทางมนุษยธรรม

“เจ้าหน้าที่ด้านมนุษยธรรมของเรา มีความกังวลเป็นพิเศษเกี่ยวกับคำสั่งข้างต้น ซึ่งทำให้ศูนย์กลางการช่วยชีวิตผู้คน ที่จัดตั้งขึ้นในเมืองเดอีร์ เอล-บาลาห์ หลังการอพยพออกจากเมืองราฟาห์ เมื่อเดือน พ.ค. ที่ผ่านมา ได้รับผลกระทบโดยสิ้นเชิง” สำนักงานเพื่อการประสานงานด้านมนุษยธรรมแห่งสหประชาชาติ (ยูเอ็นโอซีเอชเอ) ระบุในแถลงการณ์

อนึ่ง คำสั่งอพยพดังกล่าว มีผลครอบคลุมสถานที่ 15 แห่ง ซึ่งมีทั้งเจ้าหน้าที่บรรเทาทุกข์ของยูเอ็นและเอ็นจีโอ, คลังสินค้าของยูเอ็น, โรงงานกลั่นน้ำทะเล และสถานพยาบาลหลายแห่ง รวมถึงโรงพยาบาลอัล-อักซอ ซึ่งเป็นหนึ่งในโรงพยาบาลไม่กี่แห่ง ที่ยังเปิดทำการในฉนวนกาซา

ด้านเจ้าหน้าที่อาวุโสของสำนักงานบรรเทาทุกข์และจัดหางานของสหประชาชาติ สำหรับผู้ลี้ภัยปาเลสไตน์ในตะวันออกใกล้ (ยูเอ็นอาร์ดับเบิลยูเอ) กล่าวเพิ่มเติมว่า พื้นที่และความสามารถของระบบยูเอ็น และระบบด้านมนุษยธรม ในการดำเนินงานในฉนวนกาซา ประสบกับความลำบากมากขึ้นเรื่อย ๆ อีกทั้งยูเอ็นจำเป็นต้องระงับความช่วยเหลือภายในฉนวนกาซา เนื่องจากคำสั่งอพยพในเมืองเดอีร์ เอล-บาลาห์.

เครดิตภาพ : AFP