เมื่อวันที่ 24 ส.ค. นายอรรถวิชช์ สุวรรณภักดี สมาชิกพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) เปิดเผยว่า จากกรณีที่มีกระแสข่าวนายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ สส.บัญชีรายชื่อ และเลขาธิการพรรครวมไทยสร้างชาติ เป็นผู้ให้ปากคำในคดีตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 ของ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และประเด็นคุณสมบัติการเป็นรัฐมนตรีนั้น ขอชี้แจงว่าประเด็นการให้ปากคำนั้น สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) ได้มีหมายเรียกนายเอกนัฏ ไปให้ปากคำ จึงเป็นหน้าที่ตามกฎหมายที่จะต้องไปให้ปากคำแก่พนักงานสอบสวนตามข้อเท็จจริง มิใช่เสนอตัวไปให้การเอง อีกทั้งการให้ปากคำดังกล่าว ยังอยู่ในช่วงต้นปี ไม่ใช่ในช่วงเวลานี้ จึงไม่เกี่ยวข้องกับการต่อรองตำแหน่งใดๆ ปัจจุบันอัยการสั่งฟ้องคดีไปแล้ว อยู่ในชั้นศาลที่จะตัดสินตามกระบวนการยุติธรรมต่อไป
นายอรรถวิชช์ กล่าวว่า สำหรับประเด็นคุณสมบัติรัฐมนตรีตามรัฐธรรมนูญนั้น ถ้าดูตามตัวอักษรในกฎหมาย วิ.อาญา มาตรา 15 ประกอบวิ.แพ่ง มาตรา 145 วรรค 1 ได้วางหลักว่าคำพิพากษาหรือคำสั่ง ให้ถือว่าผูกพันคู่ความในกระบวนพิจารณาของศาลที่พิพากษาหรือมีคำสั่ง นับตั้งแต่วันที่ได้พิพากษาหรือมีคำสั่ง จนถึงวันที่คำพิพากษาหรือคำสั่งนั้นได้ถูกเปลี่ยนแปลง แก้ไข กลับหรืองดเสีย ถ้าหากมี ซึ่งศาลอุทธรณ์ได้มีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 27 มิ.ย. 2567 ที่ผ่านมา ยกฟ้องนายเอกนัฏแล้ว
“เมื่อพิจารณาตามข้อกฎหมายเบื้องต้นหมายความว่า หากยังไม่มีคำพิพากษาของศาลฎีกาเห็นเป็นอย่างอื่นออกมา นายเอกนัฏ เป็นผู้บริสุทธิ์และไม่เคยต้องคำพิพากษาจำคุกมาก่อน ดังนั้นประเด็นเรื่องคุณสมบัติของนายเอกนัฏ จึงไม่มีปัญหาอย่างใด นอกจากนี้ยังมีกระบวนการตรวจสอบของสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีและสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ที่มีผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายจำนวนมากอีก คาดว่าจะชัดเจนเร็วๆ นี้ ข้อกฎหมายชัดเจนว่านายเอกนัฏ เป็นรัฐมนตรีได้ ใจผมอยากให้คนรุ่นใหม่ ได้เข้าบริหารบ้านเมืองบ้าง” นายอรรถวิชช์ กล่าว.