มาแล้วค่าทุกคน “นูน่าเมี้ยน” มาประจำการพร้อมมอบความพิเศษให้แฟนๆ “บันเทิงเดลินิวส์” ที่น่ารักทุกคนแล้ว และแน่นอนนูน่าก็ยังขนเอาความพิเศษของเรื่องราววงการบันเทิง K-Pop นักแสดง ไอดอลเกาหลีในรอบสัปดาห์มาอัปเดตให้ทุกอีกเช่นเคยในคอลัมน์ “SeoulStation” โดยสัปดาห์นี้นูน่าจะพาไปถึงเรื่องราวของศิลปินชาวไทยแห่งวงการ K-Pop ผู้โด่งดังระดับโลก ตำแหน่ง “น้องชายแห่งชาติ” อย่าง “แบมแบม-กันต์พิมุกต์ ภูวกุล” หรือ “แบมแบม GOT7” กับการกลับมาอีกครั้งกับมินิอัลบั้มชุดที่ 3 “BAMESIS” พร้อมเพลงหลากหลายแนว ซึ่งการคัมแบ๊กในครั้งนี้เป็นการคัมแบ๊กในรอบ 1 ปีครึ่งของแบมแบม หลังจากปล่อยอัลบั้มเต็มชุดแรก “Sour & Sweet” เมื่อเดือนมีนาคมปีที่แล้ว โดยครั้งนี้แบมแบมมาพร้อมกับภาพลักษณ์และคอนเซปต์ใหม่ที่เท่และทรงพลังมากยิ่งขึ้น พร้อมสะท้อนถึงเส้นทางการเติบโตในวงการ K-POP งานนี้ทำเอาแฟนคลับทั้งเหล่า “อากาเซ่” (ชื่อแฟนคลับวง GOT7) และ “แบมมี่” (ชื่อแฟนคลับแบมแบม) หวีดกันมือเป็นระวิง โดยเฉพาะเพลง “LAST PARADE” เพลงไตเติ้ลที่ฮิตติดหู เอ็มวีติดแกลม พร้อมท่าเต้นสุดเท่ห์ที่ตกแฟนทั้งในด้อม และนอกด้อมให้หลงรักตกอยู่ในภวังค์สมการรอคอย

สำหรับชื่ออัลบั้มBAMESIS” เป็นการรวมคำระหว่างชื่อของBamBam” และคำว่าNemesis”  ซึ่งเป็นชื่อของเทพเจ้าแห่งการกำเนิดซึ่งสะท้อนถึงโลกของแบมแบม ที่ได้สร้างขึ้นด้วยตนเองในฐานะเด็กคนหนึ่งที่ตามหาฝัน จนกลายเป็นศิลปิน K-POP ที่ประสบความสำเร็จ ภายใต้ตัวตนที่ถูกแสดงผ่านงานดนตรี ซึ่งเขาได้ผสมผสานแนวเพลงต่างๆ เช่น ฮิปฮอปและละติน จนกลายมาส่วนผสมที่ลงตัวประกอบไปด้วย 5 เพลง ได้แก่  LAST PARADE”, “Thank You Come Again”, “Mi Ultimo Deseo”, “Ball Like That” และ Must Be Nice” ซึ่งเป็นเพลงที่แบมแบมตั้งใจถ่ายทอดออกมาเพื่อสื่อถึงความรักและความห่วงใยต่อแฟนๆ

งานนี้แบมแบมก็ไม่พลาดที่จะประกาศจัดทัวร์โชว์เคส BAMESIS SHOWCASE TOUR” พร้อมกับปักหมุดหมายประเทศไทยเป็นที่แรก และ “นูน่าเมี้ยน” ก็มีโอกาสได้เข้าร่วมงานแถลงข่าวก่อนวันงานโชว์เคส โดยแบมแบมเล่าถึงการทำงานในอัลบั้มนี้ รวมถึงความตั้งใจ และความพิเศษที่สรรสร้างใส่ลงไปในมินิอัลบั้มนี้ จนเขายกให้เป็น “อัลบั้มที่ดีที่สุด” ที่เขาทำมาเลย ร่วมถึงการถ่ายทำมิวสิกวิดีโอที่ทุ่มอย่างเต็มที่ แต่ก็ได้กลับมาสมกับสิ่งที่เสียไปด้วย อีกทั้งฟีดแบ็กของแฟนคลับและแฟนเพลง ที่ให้การตอบรับอย่างล้นหลามสมความตั้งใจด้วย

พูดถึงมินิอัลบั้มที่3 “BAMESIS” ที่มาเป็นอย่างไร เพราะก่อนหน้านี้มีหลุดสปอยล์มาบ้าง?

แบมแบม : “ไม่ได้หลุดครับ ผมนี่แหละสปอยล์เอง ส่วนที่มาของอัลบั้ม BAMESIS” ชื่อก็มาจากเทพเจ้าที่ชื่อ Nemesis” ซึ่งเป็นเทพเจ้าแห่งการกำเนิด ก็เลยใส่ชื่อแบมแบมเข้าไปก็เลยกลายเป็น BAMESIS” ซึ่งเกี่ยวกับว่าหลังจากจบเวิลด์ทัวร์AREA 52 แล้ว ผมก็เลยอยากต่อด้วยการสร้างดินแดนของตัวแบมเองครับผม อาจจะแฟนตาซีนิดนึง ซึ่งอ้างอิงก็ได้จากเวิลด์ทัวร์ส่วนใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นแนวเพลง และหลายๆเพลงที่ทำก็ทำระหว่างเวิล์ดทัวร์ครับ ซึ่งเป็นทวีปเลยครับ (หัวเราะ) ทางค่ายก็เลยตั้งชื่อให้ ถ้าเกิดทวีปชื่อ BAMASIS” ถ้าคนที่อยู่ในทวีปนั้นก็ให้เรียกว่า BAMASISER” ครับผม หรือ BAMESEAN” ก็ได้ครับผม”

อัลบั้ม “BAMESIS” มาในแนวดุดันตอบโจทย์แฟนๆ ที่ต้องการ?

แบมแบม : “ตอบโจทย์แฟนๆ แต่ว่าไม่ตอบโจทย์แม่ๆครับ (หัวเราะ) เอาจริงๆ BAMASIS มันเป็นเพลงที่ดีที่สุดตั้งแต่ปล่อยเพลงมาครับ ส่วนตัวในความชอบของผมด้วย และก็ธีมงานที่ออกมาด้วย ไม่ว่าจะเป็นเพลง การอัด การมิกซ์ และก็คอนเซปต์มิวสิควิดีโอด้วยครับ หลายๆ คนจะเห็นว่าผมจะคัลเลอร์ฟูลหน่อย มันก็จะมีความสดใส ซึ่งรู้สึกว่าอยากต่อต้าน ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้วใน BAMESIS อยากจะลองความดาร์กให้มันไปให้ได้มากที่สุด แต่ก็ยังอยากคงความมันของแนวเพลงอยู่ครับ ซึ่งมันออกมาดีใช่ไหมทุกคน? (แฟนคลับ:ใช่)

สำหรับอัลบั้ม “BAMESIS” เตรียมตัวมาขนาดไหน?

แบมแบม : “เอาจริงๆ วันนี้ก็ผมแอบเตรียมตัวกระทันหันนิดนึงนะครับ เพราะว่าช่วงระหว่างทัวร์ผมก็เริ่มที่จะเริ่มคัดเพลงที่จะเอาเพลงไหนใส่ในอัลบั้มบ้าง เพลงไหนที่ไม่ดีก็ไปทำเพิ่มมาแล้วเอาไว้ฟังระหว่างทัวร์ พอมันได้เพลงออกมาเรียบร้อยแล้ว5เพลง แต่ว่ามันยังดำเนินการทำงานอย่างอื่นไม่ได้ครับ ไม่ว่าจะเป็นการถ่ายมิวสิกวิดีโอหรือการอัดเพลงทุกอย่างมันเกิดขึ้นภายใน 3 เดือน ซึ่งเราก็เร่งทำตามแผน และก็ออกมาเป็นผลงานที่เห็นในตอนนี้ ในระยะเวลาก็ประมาณ 3 เดือนกว่ากว่าครับ”

สำหรับอัลบั้ม “BAMESIS” ยากง่ายกว่าผลงานที่ผ่านอย่างไรบ้าง?

แบมแบม : “ผมว่ามันง่ายกว่าครับผม พอดีช่วงเวิลด์ทัวร์ผมก็เลยได้ใช้ชีวิตอยู่บนเวทีก็ประมาณ9 เดือน เวลาเข้าห้องอัดเสียงจะอัดเพลงอย่างนี้ คือเสียงมันอยู่ในโหมดที่เหมือนโหมดโชว์เวลาอัดมันก็เลยราบรื่น ไม่ใช่แบบว่าพักมา2-3เดือนแล้วมาอัดมาร้องเพลงมันก็จะมีความไม่ชินบ้าง แต่ว่าในรอบนี้มันออกมาเป็นแพลนตามไทม์ไลน์ของมันก็เลยทำให้มันเกิดขึ้นได้ภายใน3เดือนครับ ซึ่งถือว่าเป็นอัลบั้มที่ราบรื่นครับ ราบรื่นจนผมเป็นห่วงครับ ผมว่ามันไม่ค่อยมีอะไรติดขัดจนรู้สึกแบบว่ามันต้องมีอะไรติดขัดหรือเปล่า คือมันจะต้องมีปัญหาที่ให้เรามาแก้ แต่ว่าพวกนี้ดันไม่มีมันราบรื่นจนสมูทเกินไป รู้สึกระแวงครับผมรู้สึกว่าเราทำอะไรตกหล่นหรือเปล่า และผมว่าน่าจะเป็นผลงานที่เพอร์เฟคที่สุดตั้งแต่ผมทำงานมาครับ”

เพลงในอัลบั้มนี้มีทั้งหมด5เพลง ชอบเพลงไหนมากที่สุดตอบได้ไหม?

แบมแบม : “ส่วนตัวชอบเพลง Mi Ultimo Deseo” เพราะว่าเป็นสไตล์ที่ผมอยากทำมานานแล้ว คือเพลงแนวลาติน ซึ่งถ้าใครที่ได้ไปดูทัวร์ตอนปี 2019 โชว์ของผมพี่มาร์ค และพี่แจ็คสันคือตอนนั้นผมก็เขียนแร็ปเป็นภาษาสเปนเหมือนกัน ซึ่งผมก็อยากทำมาตั้งแต่ตอนนั้น มันเป็นความฝันที่ผมอยากจะทำเพลงแนวลาตินมาตั้งนานแล้ว ก็เลยรู้สึกว่าชอบเพลงนี้มากที่สุด และก็เพลง “Thank You Come Again” เพราะว่าเพลงนี้ตอนแรกจะปล่อยตั้งแต่อัลบั้ม riBBon แล้ว แต่ผมว่ารู้สึกว่ามันแรงเกินไปก็เลยเก็บเอาไว้ครับ จนตอนนี้พอมันมีหลายหลายสถานการณ์เกิดขึ้นผมก็เลยเปลี่ยนเนื้อเพลงไปเลยครับ ส่วนเพลง Must Be Nice” มันเป็นเพลงที่บอกถึงความในใจ ความห่วงใยที่ผมมีให้แฟนคลับ เป็นข้อความให้กับหลายคนที่เคยชอบผมในอดีต ชอบผมในตอนนี้ แล้วก็ชอบผมในอนาคต ตอนนี้เราอาจจะยังรักอยู่แต่สักวันนึงคุณไปมีครอบครัว มีลูก แต่งงาน ก็จะมาทำกิจกรรมแบบนี้กับผมไม่ได้อีก ซึ่งไม่ว่าจะเหตุผลใดก็ตาม แต่ตอนที่เขียนเพลงนี้ผมรู้สึกว่าเราควรนึกถึงเวลาที่ดีที่มีด้วยกันกัน แต่ว่าถ้าวันนึงที่เราไม่ได้อยู่ด้วยกันแล้ว ก็ขอให้มีความสุขเหมือนตอนที่เราอยู่ด้วยกัน และอยากที่จะยอมรับที่จะให้ปล่อยผมได้เพื่อที่จะให้ทุกคนประสบความสำเร็จ ส่วนใหญ่เพลงที่เขียนให้แฟนคลับส่วนใหญ่เป็นเพลงขอบคุณ หรือว่าการขอโทษมากกว่า แต่ว่าครั้งนี้ไม่อยากใช้คำว่าขอบคุณหรือขอโทษก็เลยใช้เป็นคำที่สื่อถึงว่าถ้าไม่มีผมทุกคนก็สามารถมีความสุขได้ด้วยเหตุผลอื่นๆ ผมก็เลยอยากที่จะซัพพอร์ตความสุขของหลายๆ คนที่เคยรักผมมา”

สำหรับอัลบั้มนี้ตั้งเป้าหมายอะไรไว้บ้าง?

แบมแบม : ผมไม่ได้นึกถึงเป้าหมายอะไรมาก แต่อัลบั้มนี้ผมรู้สึกว่าอยากทำด้วยความสนุก อยากทำในสิ่งที่ทางผมด้วยแล้วก็ทางค่ายอยากทำมาตั้งนานแล้ว อาจจะไม่ได้เป็นหลักสำคัญมาก แต่ว่าอยากทำเพลงที่คนที่ไม่รู้จักผมเวลาผมไปโชว์ในที่ที่ไม่ได้มีแต่แฟนคลับผมก็สามารถเอ็นจอยก็ชอบโชว์ของผมได้ มันจะเป็นอัลบั้มที่บอกถึงความแบบว่าฉันเก่ง (หัวเราะ) แต่ว่าหลายหลายฟีดแบ็กที่ผมดูอยู่ตอนนี้ ก็เป็นไปตามที่แพลนเอาไว้อยู่ครับ เพราะหลายหลายคนรู้ว่าผมเคยอยู่ GOT7 แต่ว่าไม่เคยดูโซโล่เดี่ยวของผม แต่พอมาดูมันชื่นชอบ แค่นี้ผมก็พอใจแล้ว ผมคิดว่านี่น่าจะเป็นเป้าหมายสิ่งที่อยากจะบอกเกี่ยวกับอะไรพวกนี้ ตอนนี้เพิ่งเริ่มครับเดี๋ยวเรามาดูสิ้นปีว่าเป้าหมายจะเป็นยังไง”

สำหรับ MV “LAST PARADE” หลายคนชื่นชมถึงความอลังการมาก?

แบมแบม : “แพงครับ (หัวเราะ) หมดตูดเลยครับ เอาจริงๆ นะครับผมเราลงทุนกับเอ็มวีนี้ เราลงทุนมากกว่าที่ผ่านมา แต่ว่ามันก็ไม่ได้ต่างกันเยอะนะ เราลงทุนเพิ่มขึ้นแค่ 15-20% แต่ผมรู้สึกว่ามันคุ้ม มันทำตามจำนวนตัวเลขที่เราให้ไปจริงๆ แล้วก็หลายๆ สิ่งที่เราเตียมด้วยมันเข้ากับเพลง ทุกอย่างออกมาผสมผสานกันดีมาก แต่ว่าเพลงอื่นถามว่าดีมั้ย ตัวผมชอบครับแต่ว่าอาจจะแบบว่าติดขัดอย่างที่ผมบอก สิ่งที่มันติดขัดทุกอัลบั้มที่ผ่านมาส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องมิวสิกวิดีโอ รู้สึกตัดต่อออกมาแล้วมันไม่พอใจ จนมาถึงกำหนดที่เราจะต้องปล่อยเราก็ต้องปล่อยด้วยความเสียดาย แต่ว่าเอ็มวีนี้มันคุ้มค่ากับการทุ่มเทที่เราลงทุนไป การที่ได้เห็นฟีดแบ็กของหลายหลายคนพูดถึงเอ็มวีในรอบนี้ มันทำให้ผมชื่นใจไม่ได้เสียดายทั้งเวลา ทั้งความเหนื่อยหรือการทุ่มเทที่กับค่ายไปในเอ็มวีนี้เลย”

หลายคนชื่นชมคุณที่ได้เตรียมตัวให้กับ “อากาเซ่” ระหว่างรอการโปรโมทตามรายการต่างๆ จนกลายเป็นไวรัล?

แบมแบม : “รู้สึกว่าตลอด 2 ปีที่ผ่านมาที่ไปถ่ายรายการเยอะเยอะมันมาตอบแทนผมในช่วงเวลานี้พอดีครับ (เตรียมเต๊นท์ให้แฟนคลับ?) ใช่ครับตอนนี้ที่เกาหลีร้อนกว่าไทยอีกครับ ซึ่งตอนที่อัดรายการเพลงเสร็จแล้วจะไปมินิมีตติ้ง ซึ่งเป็นเป็นประเพณีของหลายๆ กรุ๊ป แล้วของผมมันเป็นลานกลางแจ้ง และตอนนั้นเป็นเวลา 11 โมงครึ่ง ซึ่งแดดมันกำลังแรงที่สุด ผมกับทางค่ายก็เลยอยากให้แฟนคลับ เราก็เลยซื้อเต็นท์มาให้ทุกคนนั่งเราก็เลยทำแบบแผ่นรองก้นรูปโล่ แล้วมันก็จะมีแบบแก้วน้ำ และของหลายอย่างที่ผมให้มาในกระติกน้ำแข็งที่ซึ่งให้เป็นของขวัญกับคนมาร่วมในงาน ผมรู้สึกว่าทุกคนช่วยผมขนาดนี้แล้ว สิ่งที่ผมให้มันยังนิดเดียวเองแทนที่จะทำให้ได้มากที่สุดในวันนั้น ซึ่งการตอบแทนอย่างอื่นผมก็จะค่อยๆ ตอบแทนหลายๆ สิ่ง หลายๆ แนวในอนาคต”

ถือเป็นอีกหนึ่งอัลบั้มที่ “แบมแบม” ได้ผลิตชิ้นงานออกมาด้วยความรักและความตั้งใจ โดยเขาไม่ลืมที่จะนึกถึงแฟนๆ ของเขา และพยายามที่จะเป็น “แบมแบมในเวอร์ชั่นใหม่ๆ” ให้แฟนๆได้ภูมิใจอยู่เสมอ และก็คงไม่แปลกถ้าหากแฟนๆ ทุกคนของเขาจะยังคงรักและชอบในตัวตนของเขาในทุกๆ มิติ เพราะเขาคือ “ของขวัญที่ดีที่สุด” ของแฟนๆ ที่มีมา และเชื่อว่ามันจะเป็นแบบนี้ตลอดไป..


คอลัมน์ “SeoulStation”
โดย “นูน่าเมี้ยน”