วันที่ 21 ส.ค. หนังสือพิมพ์เดลินิวส์ และเดลินิวส์ออนไลน์ ได้จัดงานเสวนา “เดลินิวส์ ทอล์ก 2024” (Dailynews Talk 2024) ในหัวข้อ “THAILAND : FUTURE AND BEYOND… ก้าวต่อไปของประเทศไทย” ณ โรงแรมอินเตอร์คอนติเนนตัล กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 21 สิงหาคม 2567

นายจิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา ผู้ก่อตั้งและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บิทคับ แคปปิตอล กรุ๊ป โฮลดิงส์ จำกัด กล่าวว่า จากการที่ผมไปประชุมบนเวทีโลก เทรนด์ที่ได้ยินคือ เรื่องของเราจะใช้ดอลลาร์น้อยลง แต่ไม่ใช่เงินหยวนเข้ามาแทนที่ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือคนทั่วโลกเริ่มที่จะซื้อขายด้วยหยวนโดยตรง ล่าสุดแบงก์ชาติจีนเปิดการซื้อขายกับตะวันออกกลางด้วยหยวนโดยตรง ซึ่งเทรนด์นี้ทำให้ความต้องการทองคำเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐกับจีนยิ่งแย่ไปกว่านี้ ส่งผลให้ราคาทองคำยิ่งปรับตัว และหลังจากนี้น่าจะมีการลดดอกเบี้ยในตลาดโลก ซึ่งทั้ง 2 ปัจจัยนี้จะยิ่งผลักดันให้ราคาทองคำปรับขึ้นในอนาคต

ขณะเดียวกันปัจจุบันโลกของเราไม่ได้ถูกขับเคลื่อนด้วยโลกาภิวัตน์อีกต่อไป และหากมองย้อนไป 200 ปีย้อนหลังเราจะขับเคลื่อนแบบการฟื้นฟูชีวิต ซึ่งตอนนี้กำลังกลับไปสู่จุดเดิมโดยเฉพาะในอาเซียนที่เราจะมีดีฟ่า เกิดขึ้น ซึ่งจะเซ็นสัญญากันในปีหน้านี้ DEFA โดยอาเซียนกำลังจะรวมกันเป็นปึกแผ่นเดียว สิ่งที่จะเกิดขึ้นคือ สินค้าจะไหลลื่นส่งของได้รวดเร็ว เราสามารถเดินทางสะดวกยื่นแค่วีซ่าในยุโรปที่เดียวเดินทางได้ทั่วยุโรป และต่อไปพร้อมเพย์ที่โอนเงินในประเทศไม่ต้องเสียค่าใช้นั้น ต่อไปสามารถโอนข้ามประเทศแบบไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย รวมๆ จะกลายเป็นอะไรที่ใหญ่มาก

“ประเทศไทยกลายเป็น 1 จังหวัด เวียดนามเป็น 1 จังหวัด ในประเทศที่เรียกว่า อาเซียน ซึ่งมีคนอยู่ 600 ล้านคน เป็นเศรษฐีที่ใหญ่เป็นที่ 4 ของโลกทันที ซึ่งหากมีต่างชาติเข้ามาลงทุนในไทยต่อไปก็จะเข้าถึงคนถึง 600 ล้านคน ทำให้อาเซียนกำลังจะเข้าสู่ยุคทองคำ โดยเม็ดเงินจะไหลเข้าทวีปเราเยอะจนจินตนาการไม่ออก”

แต่เม็ดเงินที่จะไหลเข้ามา จะไม่เข้ามาในอุตสาหกรรมเก่า โดยต้องแบ่งว่าเม็ดเงินที่จะเข้ามานั้นมีระยะสั้นที่ เรียกว่า ไชน่าพลัสวัน จากเดิมที่มีการลงทุนในจีนแต่เมื่อเกิดโควิด เศรษฐกิจจีนชะลอตัวทำให้เกิดการขยายลงทุนประเทศอื่นๆ ซึ่งมา “ส้มหล่นในเมืองไทย” ที่มีการลงทุนในอุตสาหกรรมเก่า อาทิ ยางพารา รถยนต์ ข้าวหอมมะลิ แต่หากมองในระยะยาวเงินจะไม่เข้ามาในอุตสาหกรรมเก่า ซึ่งในประเทศที่พัฒนาแล้วจะเห็นว่ามีดิจิทัลเทรด ซึ่งประเทศไทยยังไม่มี ดังนั้นสิ่งที่รัฐบาลควรสนับสนุนคือดิจิทัลเทรด และเซอร์วิสเทรดเพราะนอกจากการท่องเที่ยวแล้ว จริงๆ เรามีหลายเซอร์วิสเทรดที่จะต้องกระตุ้น และนอกจากนี้ยังต้องผลักดันดิจิทัลเซอร์วิสเทรด รวมทั้งกรีนเทรดซึ่งมีการเติบโต 300% ในปีที่ผ่านมา

ถ้าลองดูประเทศไทย จีดีพีของเราไม่มีการปรับตัวใหม่ๆ ที่จะดึงเงินเข้าประเทศเราได้ ขณะที่ประเทศพัฒนาแล้วอย่างจีน 44% มาจากเศรษฐกิจดิจิทัล ได้แก่ ดิจิทัลเทรด เซอร์วิสเทรด ดิจิทัลเซอร์วิสเทรด ขณะที่เวียดนามขึ้นไป 17% ซึ่งเป็นสิ่งที่เราจะต้องผลักดันอุตสาหกรรมใหม่ให้เกิดขึ้นมา

“บนเวทีโลกที่การพูดกันว่าอุตสาหกรรมเก่าหยุดการเติบโตแล้ว หรือแค่การตัดราคาและเป็นเรดโอเชี่ยนไปแล้ว และการที่โลกของเราจะโตจะต้องลงทุนใน ไซเอนซ์ แอนด์ เทคโนโลยี คือต้องลงทุนในโครงสร้างใหม่ คือ เอไอ บิ๊กเดต้า ทรีดีปริ้นติ้ง ไอโอที เทคโนโลยีเออาร์วีไอ เทคโนโลยีบล็อกเชน เราสามารถนำเทคโนโลยีเหล่านี้มีปรับเปลี่ยนเอสเอ็มอีไทย เพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขันให้ชนะตลาดโลกให้ได้”

นอกจากนี้ฝั่งของกรีน ในปี 2029 ไฟกำลังจะไหม้ทั้งประเทศ เพราะมีไม่กี่ประเทศที่เข้าหลักเกณฑ์ด้านความยั่งยืน ซึ่งในไทยส่วนใหญ่มีเฉพาะ ไทยเบฟ ซีพี แต่เอสเอ็มอียังไม่สามารถไปได้ อีกหน่อยส่งออกไม่ได้ อีกแค่ 6 ปีข้าวหอมมะลิกินกันแค่ในไทยก็พอ เพราะสู้เวียดนามไม่ได้ 

ฉะนั้นมันสำคัญมากที่เราจะต้องเอาดิจิทัลเทคโนโลยีมาเพิ่มขีดความสามารถของคนในประเทศ บวกกับด้านกรีนเราต้องเปลี่ยนซัพพลายเชนทุกอุตสาหกรรม เพราะไม่งั้นส่งออกได้ กู้แบงก์ไม่ได้ เข้าตลาดหลักทรัพย์ไม่ได้ ถือหุ้นในกองทุนอีเอสจีไม่ได้ มันคือกฎใหม่ของกีฬาโอลิมปิก โดยที่ 2 กระทรวงจะต้องเป็นกระทรวงเกรดเอได้แล้ว อาทิ กระทรวงดิจิทัลฯ เพื่อสร้างอุตสาหกรรมใหม่ให้เม็ดเงินไหลเข้ามาในไทย ฝั่งของกรีนต้องมีทักษะของคนให้มีอาชีพใหม่ๆ เกิดขึ้นมา ดังนั้นกระทรวงที่ 2 คือกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติฯ

ดังนั้น เราต้องเริ่มซ้อมหนีไฟกันได้แล้วเพราะจะไหม้จริงในปี 2029 ลองคิดดูถ้า 80% ของรายได้ในประเทศหายไปไม่รู้จะอยู่ยังไง เพราะเอสเอ็มอี คือ 80% ของประเทศทั้งหมด และรายได้ใหม่ๆ ยังพัฒนาไม่เป็น ขณะที่รายได้เก่าแข่งขันไม่ได้ จึงต้องมีกระทรวงดิจิทัลฯ ฝึกนักกีฬาใหม่ๆ เพื่อหารายได้ และมีกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติฯ ฝึกเอสเอ็มอีเพื่อให้เข้าในกฎและชนะตลาดอื่นได้ ส่วนสินทรัพย์ดิจิทัลเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมที่เราพยายามผลักดันให้เกิดขึ้นใหม่ในไทย ที่อนาคตสามารถซื้อขายด้วยโทเคน