วันที่ 21 ส.ค. หนังสือพิมพ์เดลินิวส์ และเดลินิวส์ออนไลน์ ได้จัดงานเสวนา “เดลินิวส์ ทอล์ก 2024” (Dailynews Talk 2024) ในหัวข้อ “THAILAND : FUTURE AND BEYOND… ก้าวต่อไปของประเทศไทย” ณ โรงแรมอินเตอร์คอนติเนนตัล กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 21 สิงหาคม 2567

นายโชติพัฒน์ พีชานนท์ ประธานกรรมการบริหาร บมจ. ไทยกรุ๊ป โฮลดิ้งส์ เปิดเผยผ่านเวทีเสวนาในหัวข้อ “ฝ่าลมต้านเศรษฐกิจ…สู่การเติบโตที่ยั่งยืน” ระบุว่า สถานการณ์เศรษฐกิจในปี 2567 เติบโตได้ในหลายส่วน จากภาคการท่องเที่ยว ซึ่งก่อนโควิดการท่องเที่ยวเจริญเติบโตมาก แน่นอนว่าธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง โรงแรม การให้บริการ รุ่งเรืองและสนับสนุนเศรษฐกิจ (จีดีพี) ของประเทศ แต่พอหลังโควิด เป็นช่วงยากลำบาก เพราะนักท่องเที่ยวลดน้อยลง เมื่อหลังโควิดหายไป มีความหวังอยากให้นักท่องเที่ยวกลับมาเหมือนเดิม

ส่วนใหญ่นักท่องเที่ยวในไทย คือ จีน ซึ่งเศรษฐกิจจีนเติบโตมาก และมองไทยเป็นหมุดหมายการท่องเที่ยว นอกจากการท่องเที่ยวใช้บริการโรงแรม ยังมาจับจ่ายใช้สอย สร้างรายได้ให้กับเศรษฐกิจไทยด้วย แต่ที่ผ่านมา จีนก็มีปัญหาเศรษฐกิจ จึงมีนโยบาย จีนเที่ยวจีน เพราะจีนต้องการเงินสนับสนุนเศรษฐกิจในประเทศ ทำให้มูลค่าการท่องเที่ยวของจีนมาไทยน้อยลง และกระทบเศรษฐกิจไทยในระดับหนึ่ง

โดยจีดีพีของไทยขยายตัวได้แต่ไม่มาก หากเปรียบเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน อยู่ในสภาวะการแข่งขันที่ใกล้เคียงกัน เช่น กัมพูชา จีดีพีโต 6%, เวียดนาม จีดีพีโตไปเรื่อยๆ ซึ่งไทยจะแข่งขันได้อย่างไร ทำให้กระทบต่อกระเป๋าสตางค์ของคนไทย และในเรื่องดอกเบี้ยก็สำคัญมองว่า การลดดอกเบี้ยเป็นสิ่งดี แต่นอกจากดอกเบี้ย อัตราแลกเปลี่ยนสำคัญ ซึ่งค่าเงินผันผวนมาก ทำให้มูลค่าการส่งออกผันแปรไป โดยอัตราแลกเปลี่ยนที่เหมาะสมให้แข่งขันกับตลาดโลกได้เป็นสิ่งสำคัญ เพราะจะเป็นต้นทุนให้ภาคธุรกิจสูง

สำหรับธุรกิจรถยนต์ที่ผ่านมา ทั้งรถป้ายแดง และรถมือสองมีผลกระทบมาก เช่น รถใช้น้ำมันป้ายแดง ได้รับผลกระทบจากรถไฟฟ้าอีวี แต่รถอีวีก็มีผลกระทบจากการเปลี่ยนราคา ทำให้ไม่มั่นใจ เรื่องซื้อก่อนได้ก่อน ขาดทุนก่อนหรือเปล่า ขณะที่รถยนต์มือสองผันผวนมากปีนี้ ราคารถมือสองปรับลดลง 30% ซึ่งผู้บริโภคมองว่าดี แต่ข้อจำกัดคือ สินเชื่อจากธนาคารที่เข้มงวด เพราะตอนนี้เศรษฐกิจฝืดเคือง ยึดรถจำนวนมาก กดราคาในตลาดให้ลดลง การขอสินเชื่อธนาคารยากมากขึ้น

ทั้งนี้ ประชาชนภาคมีผลกระทบอย่างไร ในสภาวะการปล่อยสินเชื่อในปัจจุบัน เพราะธนาคารไม่ปล่อยสินเชื่อ และหนี้ครัวเรือนสูงมาก รวมทั้งหนี้เสียเอ็นพีแอลขยับขึ้น โดยจากข้อมูลมียอดปฏิเสธสินเชื่อบ้านสูงถึง 50% และปฏิเสธสินเชื่อรถยนต์เกือบครึ่ง ซึ่งเป็นเพราะธนาคารต้องระวังฐานะการเงิน และส่วนสุดท้ายตลาดทุน ที่ดัชนีหุ้นไทยจาก 1,700 จุด มาตอนนี้ 1,300 จุด โดยทิศทางตลาดทุนไทยสำคัญ คือ ต้องมีการลงทุนใหม่ เพื่อการเติบโต

นายโชติพัฒน์ กล่าวว่า อยากให้รัฐบาลช่วยภายใต้กรอบรัฐบาลบริหารจัดการ อยากให้เงินเข้าประเทศเยอะๆ เงินออกประเทศน้อยๆ ซึ่งการให้เงินเข้าประเทศเยอะ เงินเข้ากระเป๋าคนไทย เช่น ภาคบริการ อุตสาหกรรมต่างๆ ในส่วนนี้มีสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือบีโอไอ และธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย หรือเอ็กซิมแบงก์มาสนับสนุน และสิ่งสำคัญ รัฐบาลต้องวางกรอบในเรื่องอสังหาฯ ทั้งอุปสงค์และอุปทานด้วย ให้มีนโยบายกระจายความเจริญไปหัวเมืองต่างๆ

“อย่าเอาเงินไปให้คนอื่น ถ้าเงินออกนอกประเทศเยอะ ไทยจะเสียดุลการค้า โอกาสทางการแข่งขันน้อย เช่น แพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซจีน Temu เชื่อมกับจีน ขายสินค้าราคาถูกทั่วโลก ไม่ใช่แค่ไทย ทำให้ภาครัฐต้องปกป้องผู้ผลิตในประเทศ อยากให้มีนโยบายเน้นภาษีช่วยผู้ผลิตในไทย”