สำนักข่าวเอเอฟพีรายงานจากกรุงมานากัว ประเทศนิการากัว เมื่อวันที่ 20 ส.ค. ว่ารัฐบาลนิการากัวปิดเอ็นจีโอเพิ่มอีก 1,500 แห่ง มากที่สุดในคราวเดียว ส่งผลให้จำนวนการปิดองค์กรอิสระในประเทศแห่งนี้ เพิ่มเป็นมากกว่า 5,000 แห่ง ถือเป็นสัญญาณล่าสุดของภาครัฐ ในการยกระดับปราบปราม บุคคลและองค์กรที่ต่อต้านออร์เตกา
ทั้งนี้ องค์กรซึ่งถูกปิดส่วนใหญ่ในรอบนี้ เป็นองค์กรทางศาสนา โดยรัฐบาลให้เหตุผลว่า เอ็นจีโอเหล่านี้ไม่ชี้แจงรายได้ ตามคำสั่งของรัฐบาล ไม่ว่าจะเป็น สภากาชาดนิการากัว และองค์กรการกุศลคาทอลิกหลายแห่ง รวมถึงสถานีวิทยุคาทอลิกและมหาวิทยาลัยที่เกี่ยวข้อง
นอกจากนั้น ยังมีการสั่งปิด สโมสรโรตารี, สมาคมกีฬา และองค์กรผู้ค้ารายย่อย, หน่วยงานเกี่ยวกับประชาชนในชนบทและผู้รับบำนาญ
อนึ่ง รัฐบาลนิการากัวจำคุกนักวิจารณ์หลายร้อยคน นับตั้งแต่การประท้วงต่อต้านออร์เตกาครั้งใหญ่ เมื่อปี 2561 ซึ่งสหประชาชาติ (ยูเอ็น) ระบุว่า มีผู้เสียชีวิตมากกว่า 300 ราย
ขณะที่ผู้นำนิการากัวกล่าวว่า การประท้วงครั้งนั้น เป็นความพยายามก่อรัฐประหารที่มีสหรัฐอยู่เบื้องหลัง และได้รับการสนับสนุนจากชุมชนศาสนา และเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว รัฐบาลออกกฎหมายที่กำหนดให้องค์กรพัฒนาเอกชนต้องทำงานเฉพาะ ในฐานะ “พันธมิตรแนวร่วม” ของหน่วยงานรัฐ
นางโรซาริโอ มูริโญ รองประธานาธิบดีนิการากัว และภรรยาของออร์เตกา เรียกเอ็นจีโอด้านศาสนาว่า เป็น “ลูกหลานซาตาน” หรือ “ตัวแทนของความชั่วร้าย” ที่ทำการก่อการร้ายทางจิตวิญญาณ
ย้อนกลับไปเมื่อช่วงปลายปี 2566 มีรายงานนักบวชประมาณ 30 คนถูกคุมขังในนิการากัว และมีการเนรเทศ ด้วยการผลักดันไปยังนครรัฐวาติกัน และในปีเดียวกัน รัฐบาลได้ขับไล่บรรดานักการเมือง, นักข่าว, ปัญญาชน และนักเคลื่อนไหวมากกว่า 300 คน โดยกล่าวหาว่า “เป็นกบฏ”
นอกจากนี้ ผู้สื่อข่าวอย่างน้อย 263 คน ถูกผลักดันออกจากนิการากัว นับตั้งแต่มีการปราบปรามครั้งใหญ่นี้
เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว คณะกรรมาธิการสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศเรียกร้องให้ผู้นำนิการากัวยุติการปราบปราม และปล่อยตัวผู้ที่ถูกคุมขังทันที เนื่องจากเป็นการดำเนินการ ซึ่งมีลักษณะเป็นการข่มเหงทางศาสนา, การคุมขังโดยพลการอย่างต่อเนื่อง และลิดรอนสภาพของผู้ต้องขังอย่างร้ายแรง.
เครดิตภาพ : AFP