สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงเคียฟ ประเทศยูเครน เมื่อวันที่ 20 ส.ค. ว่า ประธานาธิบดีโวโลดิเมียร์ เซเลนสกี ผู้นำยูเครน กล่าวถึงปฏิบัติการทางทหารในภูมิภาคเคิร์สก์ของรัสเซีย “เป็นปฏิบัติการเชิงป้องกัน” ซึ่งนับตั้งแต่ดำเนินการเมื่อวันที่ 6 ส.ค. ที่ผ่านมา ทหารยูเครนสามารถยึดครองพื้นที่ได้แล้วมากกว่า 1,250 ตารางกิโลเมตร และยึดครองหมู่บ้านในภูมิภาคเคิร์สก์ได้แล้ว 92 แห่ง


อย่างไรก็ตาม เซเลนสกีกล่าวด้วยว่า หากพันธมิตรตะวันตกผ่อนคลายข้อจำกัดให้แก่ยูเครนมากกว่านี้ ในการใช้อาวุธที่ได้รับความสนับสนุน การบุกภูมิภาคเคิร์สก์ “คงไม่จำเป็นต้องเกิดขึ้น” เนื่องจากการใช้งานอาวุธของตะวันตกได้อย่างสะดวกมากขึ้น แน่นอนว่า จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้แก่กองทัพยูเครน ในการปกป้องพรมแดนทางตะวันออกของประเทศ


ทั้งนี้ทั้งนั้น ผู้นำยูเครนกล่าวว่า ปฏิบัติการทางทหารในภูมิภาคเคิร์สก์ “เป็นไปตามเป้า” ซึ่งรวมถึงการจัดตั้ง “แนวกันชน” บนดินแดนของรัสเซีย เพื่อป้องกันไม่ให้พลเมืองยูเครน ตกเป็นเป้าหมายของการโจมตีข้ามพรมแดน ที่ยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง


ขณะเดียวกัน เซเลนสกีและเจ้าหน้าที่ระดับสูงอีกหลายคนในรัฐบาลเคียฟ และกองทัพยูเครน เน้นย้ำว่า อีกหนึ่งเป้าหมายปฏิบัติการทางทหารครั้งนี้ คือการกดดันให้รัฐบาลมอสโกกลับมาเจรจา “บนเงื่อนไขที่เท่าเทียมกัน” แต่ยอมรับว่า กองทัพยูเครนยังคง “เผชิญกับอุปสรรค” ในสมรภูมิที่ภูมิภาคโดเนตสก์ ทางตะวันออกของประเทศ


ด้านนายยูริ อูชาคอฟ ที่ปรึกษาด้านนโยบายต่างประเทศของทำเนียบเครมลิน กล่าวว่า รัสเซียและยูเครน “ไม่อยู่ในสถานะเหมาะสมที่จะเจรจากัน” เมื่อพิจารณาจากสถานการณ์ในภูมิภาคเคิร์สก์ หลังก่อนหน้านั้น กระทรวงการต่างประเทศรัสเซียออกแถลงการณ์ ปฏิเสธรายงานของเดอะ วอชิงตัน โพสต์ ว่ารัสเซียและยูเครนจะเจรจากันโดยมีกาตาร์เป็นคนกลาง แต่แหล่งข่าวของรัฐบาลเคียฟยืนยัน ว่าการหารือจะเกิดขึ้นผ่านระบบวิดีโอคอล ในวันที่ 22 ส.ค. นี้.

เครดิตภาพ : AFP