เมื่อช่วงค่ำวันที่ 19 ส.ค. 67 ที่ผ่านมา ร.ต.อ.เวชยันต์ หิรัญญสุวรรณ รอง สว.(สอบสวน) สภ.เมืองตรัง รับแจ้งเหตุฆ่ากันตายในบ้านหลังหนึ่ง ต.น้ำผุด อ.เมือง จ.ตรัง จึงรุดไปตรวจสอบ พร้อมด้วย พ.ต.อ.รัฐกร ภักดีวานิช ผกก.สส.ภ.จว.ตรัง พ.ต.อ.สานิตย์ พลเพชร ผกก.สภ.เมืองตรัง พ.ต.ท.สนธยา ด้วงเพ็ชร สว.สส.สภ.เมืองตรัง นายจตุรงค์ เครือเตียว กำนันตำบลน้ำผุด เจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐาน ภ.จว.ตรัง แพทย์เวร รพ.ตรัง และเจ้าหน้าที่หน่วยกู้ภัยมูลนิธิกุศลสถานตรัง (บ๊วนเต็กเซี่ยงตึ๊ง)

ที่เกิดเหตุเป็นบ้านปูนชั้นเดียว เข้าไปภายในบ้าน บนพื้นรอยต่อห้องโถงกับครัว พบศพ นายณรงค์ อายุ 56 ปี ชาว อ.ปากพนัง จ.นครศรีธรรมราช สภาพนอนคว่ำหน้าจมกองเลือด มีบาดแผลถูกยิงด้วยปืนลูกซองยาว เข้าแผ่นหลัง ท้ายทอย และสะเอวด้านขวา หลายแผล บนฝาผนังบ้านที่อยู่ติดกับร่างผู้เสียชีวิต มีรอยกระสุนฝาเป็นกลุ่มใหญ่ และใกล้กันยังพบหมอนรองกระสุนปืนลูกซองตกอยู่ ถัดออกมาบนพื้นดินและพื้นปูนหน้าบ้าน พบปลอกกระสุนปืนลูกซองเบอร์ 12 ชนิดปลอกสีขาว 2 ปลอก เจ้าหน้าที่จึงเก็บไว้เป็นหลักฐาน

สอบสวนนางเอ (นามสมมุติ) อายุ 54 ปี แฟนสาวผู้เสียชีวิตเบื้องต้นทราบว่า ผู้ก่อเหตุคือ นายบุญธรรม อายุ 59 ปี ชาว อ.เมืองตรัง เป็นพี่ชาย นางเอ ส่วนผู้ตายเป็นสามีใหม่ของนางเอ ซึ่งภายหลังมาคบกัน พี่ชายไม่พอใจแต่ก็ไม่ได้ห้าม บอกว่าถ้าจะคบกันก็อย่ามาอยู่บ้านหลังเกิดเหตุ ซึ่งเป็นบ้านพี่ชายที่ก่อเหตุ จึงพากันไปอยู่ที่บ้านผู้ตาย อ.ปากพนัง จ.นครศรีธรรมราช แต่เมื่อประมาณวันที่ 15 ส.ค. ที่ผ่านมา นางเอ กลับมาอยู่บ้านเกิดเหตุ เพื่อช่วยทำงานสอยมังคุด แล้วผู้ตายตามมาอยู่ด้วย ทำให้สามีเก่าที่สนิทกับผู้ก่อเหตุ ต้องย้ายไปอยู่ที่อื่น ก่อนเกิดเหตุผู้ก่อเหตุถือปืนลูกซองยาวเดินมาบอกให้พาผู้ตายออกไปจากบ้าน ก่อนยิงใส่ 2 นัด เสียชีวิตดังกล่าว แล้วหลบหนีไปพร้อมอาวุธปืน คาดว่าจะหลบหนีเข้าไปหลบซ่อนตัวภายในป่าในพื้นที่ ซึ่งมีลักษณะเป็นภูเขาป่ารกทึบ

อย่างไรก็ตาม ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้จัดกำลังลงพื้นที่ไล่ล่าติดตามตัวผู้ก่อเหตุ พร้อมทั่งไล่กล้องวงจรปิดในเส้นทางที่คาดว่าจะใช้หลบหนี และเตรียมรวบรวมพยานหลักฐานขออำนาจศาลอนุมัติออกหมายจับ เบื้องต้นสันนิษฐานว่า มือปืนไม่พอใจที่ผู้ตายมาอาศัยอยู่ที่บ้าน เพราะเคยพูดไว้ว่าถ้าจะคบกันก็ได้แต่ไม่ให้มาอยู่บ้าน แต่กลับพากันกลับมา อาจทำให้รู้สึกเหมือนถูกหยามเลยก่อเหตุดังกล่าว ส่วนสาเหตุที่แท้จริงอยู่ระหว่างติดตามตัวผู้ก่อเหตุมาสอบสวนอย่างละเอียดอีกครั้ง ก่อนดำเนินการตามขั้นตอนกฎหมายต่อไป