สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงโคเปนเฮเกน ประเทศเดนมาร์ก เมื่อวันที่ 18 ส.ค.ว่าบริษัทบาวาเรียน นอร์ดิก ผู้พัฒนาด้านเทคโนโลยีชีวภาพสัญชาติเดนมาร์ก ซึ่งเป็นผู้ผลิตวัคซีน “อิมวาเนกซ์” ( Imvanex ) สำหรับโรคฝีดาษ หรือไข้ทรพิษ ที่องค์การอนามัยโลก ( ดับเบิลยูเอชโอ ) ประเมินประสิทธิภาพต่อโรคฝีดาษลิงไว้ที่ 85% ออกแถลงการณ์ ว่ามีศักยภาพผลิตวัคซีนเพิ่มเติมอีก 2 ล้านโดส ในปีนี้ และผลิตสูงสุด 10 ล้านโดส ภายในปี 2568


ขณะที่จำนวนวัคซีนอิมวาเนกซ์ ที่มีอยู่ในคลังของบริษัท ณ เวลานี้ มีประมาณ 500,000 โดส นอกจากนี้ ปัจจุบัน วัคซีนอิมวาเนกซ์ เป็นวัคซีนแบบเดียว ที่สหรัฐและแคนาดาอนุมัติเป็นกรณีฉุกเฉิน เพื่อให้ใช้ป้องกันโรคฝีดาษลิง ส่วนรัฐบาลของหลายประเทศในยุโรป สั่งซื้อวัคซีนอิมวาเนกซ์ เพื่อใช้แบบนอกข้อบ่งใช้ ( off-label ) โดยต้องขึ้นอยู่กับดุลพินิจของแพทย์เท่านั้น


ด้านศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคแอฟริกา ( แอฟริกา ซีดีซี ) อัปเดตสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคฝีดาษลิง หรือ เอ็มพ็อกซ์ ภายในภูมิภาค นับตั้งแต่ต้นปีนี้ ว่ามีผู้ป่วยยืนยันสะสมอย่างน้อย 18,737 คน ในอย่างน้อย 12 ประเทศสมาชิกสหภาพแอฟริกา ( เอยู )

ส่วนจำนวนผู้เสียชีวิตจากโรคดังกล่าวอยู่ที่อย่างน้อย 541 ราย ในทวีปแอฟริกา คิดเป็นอัตราการเสียชีวิต 2.89% ทั้งนี้ สาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก ( ดีอาร์คองโก ) มีผู้ป่วยสะสมมากที่สุดอย่างน้อย 1,005 คน และมีผู้เสียชีวิตแล้ว 23 ราย

อนึ่ง การแพร่ระบาดของโรคฝีดาษลิงในดีอาร์คองโก คือกลุ่มเชื้อไวรัสสายพันธุ์ใหม่ “เคลด 1บี” ซึ่งกลายพันธุ์มาจากกลุ่มสายพันธุ์ที่ 1 หรือเคลด 1 ทำให้ทุกฝ่ายวิตกกังวลว่า สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคจะยิ่งรุนแรง เนื่องจากเดิมทีเชื้อเคลด 1 มีความรุนแรงระดับสูงสุดในบรรดาทุกสายพันธุ์อยู่แล้ว และมีอัตราการเสียชีวิตสูงถึง 10%


แม้ฝีดาษลิงถือเป็นหนึ่งในโรคประจำถิ่นของทวีปแอฟริกา แต่การที่สถิติผู้ป่วยยืนยันในปีนี้ ทำลายจำนวนผู้ป่วยสะสมของทั้งปีที่แล้ว ซึ่งอยู่ที่ 14,383 คน และประเทศเพื่อนบ้านของดีอาร์คองโกพบผู้ป่วยเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ดับเบิลยูเอชโอประกาศให้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคฝีดาษลิง “เป็นภาวะฉุกเฉินด้านสาธารณสุขระหว่างประเทศ” อีกครั้ง หลังเคยประกาศมาแล้ว ระหว่างปี 2565-2566.

เครดิตภาพ : GETTY IMAGES