นายพิศาล พงศาพิชณ์ เลขาธิการสำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ (มกอช.) เปิดเผยภายหลังลงพื้นที่เยี่ยมชมสวนทุเรียน GAP โรงรวบรวมผลทุเรียนและโรงคัดบรรจุ ณ อ.หลังสวน จ.ชุมพร ว่า  ปัจจุบันมีพื้นที่ปลูกทุเรียนโดยประมาณ 1,054,868 ไร่  ในพื้นที่ จ.จันทบุรี ชุมพร ระยอง สุราษฎร์ธานี และนครศรีธรรมราช และสามารถปลูกได้ในทุกภูมิภาคของประเทศ ในปี 2566 มีปริมาณการส่งออก 1,094,900 ตัน หรือคิดเป็นมูลค่า 164,787 ล้านบาท ทั้งในรูปแบบทุเรียนผลสด ทุเรียนแช่แข็ง ทุเรียนกวน และทุเรียนอบแห้ง โดยประเทศที่ไทยส่งออกทุเรียนมากที่สุด 3 อันดับแรก ได้แก่ สาธารณรัฐประชาชนจีน ฮ่องกง และมาเลเซีย ซึ่งคาดว่าการส่งออกของผลทุเรียนและผลิตภัณฑ์จะเพิ่มสูงขึ้น เนื่องจากความต้องการของตลาดต่างประเทศยังคงมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ทั้งนี้ การส่งออกทุเรียนผลสดที่ผ่านมามักพบทุเรียนอ่อนออกสู่ตลาด ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภค ดังนั้น กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ จึงได้กำหนดมาตรฐานสินค้าเกษตร เรื่อง หลักปฏิบัติในการตรวจและรับผลทุเรียนสำหรับโรงรวบรวมและโรงคัดบรรจุ (มกษ. 9070) เพื่อช่วยสนับสนุนการจำหน่ายทุเรียนที่มีคุณภาพ โดยมาตรฐานดังกล่าวได้ประกาศตามกฏกระทรวงให้เป็นมาตรฐานบังคับ และได้ลงประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว เมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม 2567 ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 10 กรกฎาคม 2568 เป็นการควบคุมตลอดห่วงโซ่การผลิตเพื่อได้ทุเรียนที่มีคุณภาพ

“ทั้งนี้ จากการจัดโครงการอบรมเตรียมความพร้อมผู้ประกอบการและผู้ผลิตเข้าสู่มาตรฐานบังคับ เรื่อง หลักปฏิบัติในการตรวจและรับผลทุเรียนสำหรับโรงรวบรวมและโรงคัดบรรจุ (มกษ.9070) ตั้งแต่เดือน เมษายน- สิงหาคม ให้แก่ ผู้ประกอบการ เจ้าหน้าที่ภาครัฐ ผู้ประกอบการการตรวจสอบมาตรฐาน เกษตรกร และสถานบันทางการศึกษา จำนวนทั้งสิ้น 387 รายและ ในรูปแบบออนไลน์ จำนวน 1,500 ราย”

ด้านนายจิตติ สุวรรณสังข์ เกษตรกรผู้ปลูกทุเรียน GAP อ.หลังสวน จ.ชุมพร กล่าวว่า เริ่มแรกได้ทำเป็นสวนสมรม หรือสวนผสมผสานมีการปลูกทุเรียนพันธุ์พื้นบ้าน เงาะ มังคุด ลางสาด บนพื้นที่ 20 ไร่ ตั้งแต่รุ่นพ่อ แม่ ตา ยาย ต่อมาได้มาปลูกทุเรียนพันธุ์หมอนทองมากว่า 25 ปี โดยผลผลิตที่ได้ และเมื่อมีล้งเข้ามารับซื้อผลผลิตเพื่อการส่งออก ทำให้เกิดเข้าตื่นตัวสู่กระบวนการผลิตทุเรียน GAP โดยสวนผ่านการตรวจประเมินและได้ใบรับรอง GAP ตั้งแต่ปี 2547 เพื่อให้ได้ทุเรียนที่มีคุณภาพ สร้างความเชื่อมั่นให้กับคู่ค้า และผู้บริโภค รวมทั้งช่วยยกระดับราคาสูงขึ้น ที่สำคัญทุกล้งจะเรียกหาใบรับรอง GAP จากสวนทุเรียน ปัจจุบัน ผลผลิตทุเรียน ปี 65-66 เฉลี่ย 1,800 กก/ไร่ ขณะที่ ปี 67 เนื่องจากสภาพอากาศแปรปรวนฝนทิ้งช่วงเป็นเวลานานทำให้ผลผลิตลดลง 30-35% หรือประมาณ 1,300 กก./ไร่ ซึ่งจะส่งให้กับล้งที่รับซื้อเพื่อส่งออกไปจีนเป็นหลัก และมีส่งออกไต้หวัน และญี่ปุ่น แค่ 20%

ขณะที่ น.ส.หทัยชนก อรุณรักษ์ เจ้าของบริษัท เดอะเบสท์ 3310 อินเตอร์ ฟรุ๊ต จำกัด กล่าวว่า ได้รับช่วงต่อจากรุ่นพ่อ แม่ มาทำล้งทุเรียนได้ประมาณ 7 ปีแล้ว และได้มีการดำเนินการตามหลักเกณฑ์มาตรฐาo GMP มาโดยตลอด ซึ่งปริมาณผลผลิตทุเรียนที่รับซื้อจากเกษตรกรประมาณ 100 ตู้คอนเทนเนอร์ หรือเฉลี่ย 17-18 ตัน/ตู้คอนเทนเนอร์ โดยจะมีการคัดเกรด A B และ C เพราะแต่ละเกรดจะมีราคาที่แตกต่างกัน โดยอิงจากราคากลาง ที่สำคัญบริษัทฯ จะรับซื้อทุเรียนจากสวนที่ได้รับ GAP เท่านั้น และเก็บเกี่ยวตามฤดูกาลที่ทางจังหวัดประกาศ แต่หากมีการเก็บเกี่ยวก่อน จะต้องมีการสุ่มตรวจวิเคราะห์น้ำหนักเนื้อแห้งก่อนที่จะมีการส่งออก