จากกรณีตามที่มีบางสำนักข่าวนำเสนอข้อเท็จจริงว่า นายชัยเกษม นิติสริ อดีตอัยการสูงสุด เป็นผู้สั่งไม่ฟ้องนายพิชิต ชื่นบาน กับพวกรวม 3 คน นั้น

เมื่อวันที่ 15 ส.ค. ที่สำนักงานอัยการสูงสุด ถนนแจ้งวัฒนะ นายประยุทธ เพชรคุณ โฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด ร่วมกับ นายนาเคนทร์ ทองไพรวัลย์ ในฐานะรองโฆษกฯ แถลงข่าวถึงข้อเท็จจริง เกี่ยวกับการสั่งไม่ฟ้องนายชัยเกษม

นายประยุทธ กล่าวว่า งานโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด ได้ตรวจสอบสำนวนคดีดังกล่าวแล้ว ยืนยันว่าข่าวดังกล่าวคลาดเคลื่อน ไม่ถูกต้อง และไม่เป็นความจริง โดยนายชัยเกษม นิติสิริ อดีตอัยการสูงสุด ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ ในการสั่งคดีดังกล่าว

ลำดับขั้นตอนและการสั่งคดีดังกล่าว ดังนี้

1. สำนวนคดีดังกล่าว เมื่อวันที่ 2 ธ.ค. 51 สำนักงานคดีอาญา โดยสำนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญา 7 ได้รับสำนวนพร้อมความเห็นเสนอสั่งไม่ฟ้องจากพนักงานสอบสวน สน.ชนะสงคราม คดีกล่าวหานายพิชิต ชื่นบาน, น.ส.ศุภศรี ศรีสวัสดิ์, นายธนา ตันศิริ ผู้ต้องหาที่ 1-3 ข้อหาร่วมกันให้ ขอให้หรือรับว่าจะให้ทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใด แก่เจ้าพนักงาน เพื่อจูงใจให้กระทำการ ไม่กระทำการ หรือประวิงการกระทำ อันมิชอบด้วยหน้าที่ เหตุเกิดเมื่อวันที่ 10 มิ.ย. 2551 เวลาประมาณ 09.00 น. ในท้องที่แขวงพระบรมมหาราชวัง เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร โดยสำนวนดังกล่าว พนักงานสอบสวน เห็นควรสั่งไม่ฟ้องผู้ต้องหาทุกคน โดยเห็นว่าผู้ต้องหาทั้งสามไม่ได้กระทำผิดตามข้อกล่าวหา

ต่อมาเมื่อพนักงานอัยการได้รับสำนวนจากพนักงานสอบสวนแล้วนายสมเจตน์ ชัยเฉลิมปรีชา อัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญา 7 ได้ตั้งคณะทำงานเพื่อตรวจพิจารณาสำนวน ประกอบด้วย นายยงยุทธ ศรีสัตยาชน อัยการจังหวัดประจำกรม และนายสมบูรณ์ ศุภอักษร อัยการอาวุโส เป็นคณะทำงาน โดยมีนายสมเจตน์ ชัยเฉลิมปรีชา เป็นหัวหน้าคณะทำงาน ซึ่งคณะทำงานได้ตรวจสำนวนโดยละเอียดแล้วเห็นพ้องกับความเห็นของคณะพนักงานสอบสวน สน.ชนะสงคราม จากนั้นได้เสนอสำนวนพร้อมความเห็นต่อ ร.ต.ท.ธานี วุธยากร รองอธิบดีอัยการ สำนักงานคดีอาญา เพื่อพิจารณาตามระเบียบและขั้นตอนของกฎหมาย ซึ่ง ร.ต.ท.ธานี รองอธิบดีอัยการฯ พิจารณาแล้วได้มีความเห็น และเห็นควรสั่งไม่ฟ้อง ผู้ต้องหาทั้งสามตามเสนอ

จากนั้นได้เสนอสำนวนให้นายกายสิทธิ์ พิศวงปราการ อธิบดีอัยการ สำนักงานคดีอาญา พิจารณา ซึ่งนายกายสิทธิ์ ได้พิจารณาแล้วมีคำสั่ง เมื่อวันที่ 23 ธ.ค. 2551 โดยมีคำสั่งไม่ฟ้องผู้ต้องหาทั้งสาม ตามความเห็นของพนักงานสอบสวน พนักงานอัยการซึ่งเป็นคณะทำงาน และรองอธิบดีอัยการเสนอ

ซึ่งขั้นตอนการพิจารณาสั่งสำนวนดังกล่าวข้างต้น จะเห็นได้โดยชัดเจนว่านายชัยเกษม ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องในการสั่งสำนวนคดีดังกล่าวใดๆ ทั้งสิ้น โดยเมื่อนายกายสิทธิ์ พิศวงปราการ อธิบดีอัยการ สำนักงานคดีอาญา มีคำสั่งไม่ฟ้อง ได้ส่งสำนวนพร้อมความเห็นทั้งหมดให้ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติพิจารณาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 145 ซึ่งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.ท.ชาตรี สุนทรศร ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ปฏิบัติราชการแทน ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ มีคำสั่งเมื่อวันที่ 2 ก.ย. 2552 ไม่แย้งคำสั่งไม่ฟ้องของอธิบดีอัยการ สำนักงานคดีอาญา

จากข้อเท็จจริงดังกล่าว เมื่อผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติมีคำสั่งไม่แย้งคำสั่งไม่ฟ้อง ถือว่าคำสั่งไม่ฟ้อง เสร็จเด็ดขาด ตามขั้นตอนของกฎหมาย ดังนั้นการที่มีการนำเสนอข่าวว่า นายชัยเกษม นิติสิริ อดีตอัยการสูงสุด เป็นคนสั่งไม่ฟ้องคดีดังกล่าว จึงไม่ถูกต้องและไม่เป็นความจริง

เมื่อถามว่าอธิบดีอัยการสำนักงานคดีอาญาสั่งไม่ฟ้อง นายพิชิตกับพวกในยุคอัยการสูงสุดคนใด นายประยุทธ กล่าวว่า เป็นช่วงที่นายชัยเกษม เป็นอัยการสูงสุด แต่ในวันที่ พล.ต.ท.ชาตรี มีคำสั่งไม่แย้งมา เป็นช่วงของ นายจุลสิงห์ วสันตสิงห์ แต่ทั้ง2 ท่าน ไม่มีส่วนใดๆในการสั่งคดี

นายนาเคนทร์ กล่าวถึงเหตุผลของอัยการในการสั่งไม่ฟ้องนายพิชิตกับพวกว่า มองว่าการกระทำของผู้ต้องหา ขาดองค์ประกอบความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา ซึ่งเหตุผลหลักที่พนักงานสอบสวนและอัยการสั่งไม่ฟ้อง จากสำนวนคดีเห็นว่า เจ้าหน้าที่ธุรการตำแหน่งนิติกร 5 ประจำแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ได้รับถุงที่ภายในบรรจุเงินจำนวน 2 ล้านบาท ปรากฏว่าเจ้าหน้าที่คนดังกล่าว ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการพิจารณาคดี แล้วก็ในทางสอบสวนคำให้การของเจ้าหน้าที่คนดังกล่าว ได้ให้การว่าคนที่นำถุงขนมใส่เงินคือนายธนา และไม่ได้พูดให้ไปกระทำการหรือไม่กระทำการ หรือประวิงการกระทำอันมิชอบด้วยหน้าที่ อีกทั้งไม่มีข้อเท็จจริงว่าให้เจ้าหน้าที่คนดังกล่าวไปประสานงานกับผู้พิพากษาที่มีอำนาจในการตัดสินคดี เพื่อที่จะให้คุณให้โทษแก่นายทักษิณ ชินวัตร ดังนั้นการกระทำของผู้ต้องหาทั้ง 3 จึงขาดองค์กระกอบความผิดในเรื่องเจตนาพิเศษที่จะให้ไปกระทำการอันมิชอบด้วยหน้าที่ และเมื่อฟังได้ว่านายธนาไม่มีความผิด นายพิชิตกับพวกอีกคนหนึ่ง จึงไม่มีความผิดด้วยเช่นกัน สั่งไม่ฟ้อง

นายประยุทธ กล่าวเสริมว่า นายพิชิตเป็นทนายความในคดีอาญาที่ฟ้องกันในศาลฎีกาฯ ผู้ต้องหาที่ 2 เป็นเสมียนทนายความนายธนา ผู้ต้องหาที่ 3 เป็นผู้ประสานงานคดี คนที่เอาเงินไปให้เจ้าหน้าที่ศาลคือนายธนา ไม่มีข้อเท็จจริงจากพยานฝ่ายเจ้าหน้าที่ศาลว่าเงินให้เอาไปทำอะไรยังไง และไม่มีข้อเท็จจริงเรื่องความเชื่อมโยงกับผู้พิพากษาซึ่งทำหน้าที่ตัดสินคดี