เมื่อเวลา 11.30 น. วันที่ 14 ส.ค. ที่รัฐสภา นายเลิศศักดิ์ พัฒนชัยกุล ประธานคณะกรรมาธิการการป้องกันปราบปรามการฟอกเงินและยาเสพติด สภาผู้แทนราษฎร และคณะอนุกรรมาธิการติดตามและศึกษาคดีฉ้อโกง บริษัท สตาร์ค คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) ขอแถลงผลการพิจารณาศึกษา คดีฉ้อโกง โดยระบุว่า จากผลการดำเนินการของคณะกรรมาธิการติดตามผลได้ทำงานเสร็จสิ้นแล้ว และส่งรายงานฉบับสมบูรณ์ โดยผลสรุปทางตลาดหลักทรัพย์ หรือ ก.ล.ต. ได้ร้องไปยังกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ ส่งเรื่องให้อัยการสั่งฟ้อง 11 ราย ทั้งส่วนบุคคล และนิติบุคคล คือบริษัทในเครือ โดยมีการตั้งข้อสังเกตไว้ 16 ข้อ ที่สรุปไว้ในรายงาน อาทิ
โดยคณะกรรมาธิการฯ มีข้อสังเกตว่า ต้องส่งสัญญาณไปยัง ดีเอสไอ และ สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน หรือ ปปง. ซึ่งมี 1 รายสำคัญ นายชินวัตร อัศวโภคี ที่ถูกกันไว้เป็นพยานและไม่ถูกสั่งฟ้องเด็ดขาด ซึ่งภายหลัง มีการซื้อหุ้นบริษัทหนึ่งมูลค่า 650 ล้าน ผ่านนักร้องอักษรย่อ ข. (ขันเงิน) จึงอยากตั้งคำถามว่าเหตุใด ปปง. หรือดีเอสไอ ยังไม่ได้ตรวจสอบว่า เงิน 650 ล้าน ที่มีการอ้างว่าเป็นเงินกู้จากสิงคโปร์และเงินส่วนตัวนั้น เกี่ยวข้องกับการทุจริตของผู้บริหารหรือไม่
นอกจากนี้ยังมีการตั้งข้อสังเกต กรณีการไม่ดำเนินคดีกรรมการในฐานะส่วนตัว ทั้ง ๆ ที่มีการดำเนินคดีกับบริษัทดังกล่าวในฐานะนิติบุคคล ผู้แทนกรมสอบสวนคดีพิเศษชี้แจงว่า กรรมการบางคนของบริษัทดังกล่าว ถูกดำเนินคดีในคดีหลักแล้ว จึงไม่ต้องดำเนินคดีในกรณีดังกล่าวอีก ซึ่งไม่น่าจะถูกต้อง เพราะเป็นเรื่องของการกระทำที่อาจเป็นความผิดต่างกรรมต่างวาระกัน จึงเป็นข้อพิจารณาที่กรมสอบสวนคดีพิเศษไม่ได้ให้ความสำคัญในการมีความเห็นทางคดีในลักษณะเช่นนี้
นอกจากนี้ คณะกรรมาธิการ มองว่า การเสนอให้มีหุ้นกู้ก็ดี เป็นที่เข้าใจได้ว่า การซื้อหุ้นกู้จะไม่มีหลักประกัน แม้ว่าหุ้นกู้เป็นการกู้ยืมเงินที่ชอบด้วยกฎหมายก็ตาม หากพิจารณาถึงลักษณะของการขายหุ้นกู้โดยให้ดอกเบี้ยอัตราที่สูง มีลักษณะเสมือนเป็นการกู้ยืมเงินจากประชาชน ซึ่งถ้าหากบริษัทที่ขายหุ้นกู้ไม่ใช่บริษัทมหาชนในตลาดหลักทรัพย์ ก็อาจจะเป็นการกระทำความผิดฐานกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน ดังนั้น สำนักงาน ก.ล.ต. จึงควรมีมาตรการแก้ไขปัญหาในลักษณะดังกล่าว เพื่อไม่ให้เป็นการสร้างความน่าเชื่อถือโดยไม่มีหลักประกัน และในบางกรณีอาจเป็นการสร้างความเสียหายให้กับประชาชนเป็นจำนวนมากได้
สำหรับผู้เสียหายกรณีหุ้นสตาร์คมีประมาณ 20,000 ราย มูลค่า 75,000 ล้านบาท โดยคณะกรรมาธิการหวังว่า รายงานนี้จะเป็นประโยชน์ต่อการสืบคดีต่อกระบวนการยุติธรรมต่อไป