จากการที่นักท่องเที่ยวได้พบลูกพะยูนเพศผู้อายุประมาณ 1-2 เดือน พลัดหลงจากฝูงและจากแม่ และว่ายน้ำอยู่เพียงลำพังในสภาพอ่อนแรง บริเวณเกาะปอดะ อุทยานแห่งชาติหาดนพรัตน์ธารา-หมู่เกาะพีพี จ.กระบี่ จากนั้นได้มีการแจ้งเจ้าหน้าที่ศูนย์วิจัยทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งอันดามันตอนล่าง และประสานมายังโรงพยาบาลสัตว์น้ำราชมงคลตรัง เป็นสถานที่รับการดูแลรักษา โดยสัตวแพทย์ได้ร่วมกันดูแล “ลูกพะยูน” อย่างใกล้ชิด นั้น
คืบหน้าเมื่อวันที่ 12 ส.ค. นายทรงกรด สว่างวงศ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดตรัง ได้ลงพื้นที่ติดตามอาการลูกพะยูนเพศผู้ วัย 2 เดือน ณ โรงพยาบาลสัตว์น้ำราชมงคลตรัง พบว่ามีอาการดีขึ้น โดยพะยูนมีน้ำหนัก 13.8 กก. มีความยาว 102 ซม. พบรอยบาดแผลบริเวณส่วนจมูก และหัวเล็กน้อย ร่างกายค่อนข้างผอม บริเวณตาซ้ายขุ่น เสียงปอดมีความชื้นเล็กน้อย ลำไส้มีการบีบตัว อีกทั้งพะยูนยังมีความอยากกินอาหาร ทีมเจ้าหน้าที่ให้การดูแลตลอด 24 ชั่วโมง โดยมีการป้อนนมทดแทน และน้ำทุกๆ 2 ชั่วโมง เพื่อชดเชยภาวะการขาดน้ำ มีการใช้นมผงเด็ก เป็นนมทดแทนให้กับพะยูน มีการตรวจวัดชีพจรและอัตราการเต้นของหัวใจวันละ 2-3 ครั้ง และทางสัตวแพทย์จะวางแผนในการตรวจสุขภาพอย่างละเอียดต่อไป
“พร้อมถอดบทเรียนจากการรักษา ”น้องมาเรียม” ลูกพะยูนเพศเมีย อายุประมาณ 6 เดือนที่พลัดหลงกับแม่ในช่วงเดือน เม.ย. 62 มาปรับใช้ เพื่อให้ลูกพะยูนตัวนี้รอดชีวิตและสามารถปล่อยคืนสู่ทะเลได้ โดยต้องใช้เวลานานประมาณ 1 ปีครึ่ง ลูกพะยูนตัวนี้จึงจะหย่านมและสอนการกินหญ้าทะเลต่อไป ซึ่งวันนี้ลูกพะยูนมีอาการแข็งแรงขึ้นมาก สามารถว่ายน้ำวนรอบสระ คล้ายกับจะมองหาแม่ ทำให้ทีมสัตวแพทย์มีกำลังใจขึ้นมาก” ผู้ว่าฯ ตรัง กล่าว
ด้านนายสันติ นิลวัฒน์ ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งทะเลอันดามันตอนล่าง กล่าวว่า ถ้าดูอาการตอนนี้ค่อนข้างจะดี แต่ถ้าจะให้แข็งแรงเหมือนเดิมต้องใช้เวลาอีกระยะ ซึ่งพะยูนตัวนี้อายุประมาณ 2-4 เดือน โดยทั่วไปพะยูนจะอยู่กับแม่ถึง 18 เดือน จึงต้องใช้เวลาอีกนาน จากที่เจอที่กระบี่ พบว่าพะยูนตัวนี้อยู่ตัวเดียว เป็นไปได้ว่าแม่เขาเสียชีวิตแล้ว หรืออาจพลัดหลงกับแม่ ทำให้มีอาการขาดน้ำ ไม่แข็งแรง ว่ายน้ำไม่ได้
ตอนนี้ยังไม่มีการตั้งชื่อ แต่เรียกกันเล่นๆ ว่า “ปอดะ” เพราะจะได้รู้ว่ามาจากที่ไหน ส่วนเรื่องจะปล่อยคืนสู่ทะเลขึ้นอยู่กับผู้บริหารเพราะเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อน โดยปกติ หากพบพะยูนจากแหล่งไหนก็มักจะนำกลับไปปล่อยที่นั่น และจากบทเรียนของมาเรียมที่เอามาอนุบาล ทำให้เราใช้มาเป็นประสบการณ์และจากอาสาสมัครที่เคยดูแลมาเรียม ทุกคนก็จะกลับมาช่วยตรงนี้ต่อ.