เมื่อวันที่ 12 ส.ค. นายประพันธ์ คูณมี อดีต สว. ในฐานะหนึ่งในผู้ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญขอให้วินิจฉัยถอดถอนนายเศรษฐา ทวีสิน ออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี จากกรณีแต่งตั้งนายพิชิต ชื่นบาน เป็นรัฐมนตรี ทั้งที่ไม่มีคุณสมบัติตามรัฐธรรมนูญว่า ในมุมมองของนักกฎหมายและทนายความจากที่อ่านคำชี้แจงและคำแถลงปิดคดีของนายเศรษฐาไม่ค่อยแหลมคม รู้สึกผิดหวัง เพราะแก้ตัวไม่ค่อยมีน้ำหนัก และคาดหวังว่าเมื่อมีนายวิษณุ เครืองาม ที่ปรึกษาของนายกฯ แล้ว คอยเป็นกุนซือให้คำปรึกษา แต่คำชี้แจงแถลงกลับเป็นแบบพื้นๆ ไม่มีอะไรใหม่ หรือมีน้ำหนักหักล้างข้อกล่าวหาของผู้ร้อง 40 อดีต สว.ได้ อีกทั้งยังอ้างความเป็นนักธุรกิจที่ไม่คุ้นเคยกับข้อกฎหมายและเรื่องรัฐศาสตร์ ไม่น่าใช้เป็นข้ออ้างหักล้างข้อกล่าวหาได้

นายประพันธ์ กล่าวอีกว่า ขณะที่คำแถลงของ 40 สว.ค่อนข้างละเอียด โดยเฉพาะคำสั่งของศาลฎีกาที่ให้นายพิชิตจำคุกเปรียบเสมือนคำพิพากษา เพราะเรื่องเกิดขึ้นที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง จึงไปจบที่ชั้นศาลฎีกาโดยไม่มีอุทธรณ์ เพราะผู้กระทำความผิดไปกระทำความผิดในศาลฎีกาฯ และศาลฎีกาเป็นผู้ไต่สวนสอบสวนเรื่องนี้ของนายพิชิต พวกเราในฐานะผู้ร้องได้ยื่นเอกสารที่เป็นหนังสือของเลขาศาล ที่ส่งถึงสภาทนายความ ที่เป็นผู้ขอให้เพิกถอนใบอนุญาตของนายพิชิตและพวก เนื่องจากประพฤติผิดมารยาททนายความอย่างร้ายแรง มีหนังสือเป็นลายลักษณ์อักษรจากสำนักงานศาล อีกทั้งศาลยังมอบให้เลขาศาลไปแจ้งความดำเนินคดีเองกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ซึ่งนายกฯ ต้องทราบข้อเท็จจริงนี้อยู่แล้ว

นายประพันธ์ กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ เขายังเคยมอบทนายไปฟ้องต่อศาลปกครองเพื่อให้เพิกถอนคำสั่งของสภาทนายความ จนคดีถึงศาลปกครองสูงสุดซึ่งตัดสินว่าคำวินิจฉัยของสภาทนายความเป็นคำสั่งโดยชอบแล้ว รายละเอียดเหล่านี้นายกฯ อ้างไม่รู้ไม่ได้ สำคัญคือนายกฯ ไม่ได้นำรายละเอียดดังกล่าวไปถามกฤษฎีกา แตกต่างจากกรณีของนายไผ่ ลิกค์ ที่ให้รายละเอียดกับกฤษฎีกาเลยว่านายไผ่ต้องคดีที่ไหน ท้องที่ใด คำพิพากษาว่าอย่างไร ถามว่าทำไมคุณถึงให้รายละเอียดได้ซ้ำยังถามด้วยว่านายไผ่มีคุณสมบัติเป็นรัฐมนตรีหรือไม่

“ในทางกฎหมายและข้อเท็จจริงพยานหลักฐาน นายกฯ ค่อนข้างลำบาก แก้ตัวแบบขว้างงูไม่พ้นคอ แก้ตัวว่าไม่รู้ ลำบาก ครั้งแรกที่ไม่แต่งตั้งนายพิชิตเป็นรัฐมนตรีก็เพราะสาเหตุนี้ แต่พอมาครั้งที่สองไม่ถามใครเลย ตั้งเลย แล้วจะเอาผลครั้งแรกมาใช้กับครั้งหลังได้หรือไม่ แต่ครั้งแรกก็ถามไม่ละเอียดอยู่แล้ว ความจริงต้องถามทุกมาตรา ไม่ใช่ถามแค่เฉพาะวงเล็บใดวงเล็บหนึ่ง แต่ปัญหาคือครั้งที่สองไม่ได้ถามเลย ดังนั้น ในทางกฎหมายและข้อเท็จจริงเราไม่ได้หนักใจ ถ้าหากเขาจะพ้นหรือจะหลุดมันต้องเหตุอื่นแล้ว ไม่ใช่เหตุทางกฎหมาย อาจจะมีเหตุอภินิหารทางกฎหมายอย่างอื่น ซึ่งในชั้นนี้ก็ต้องบอกว่า 50:50” นายประพันธ์ กล่าวและว่า ในวันที่ 14 ส.ค.นี้ ตน นายสมชาย แสวงการ และนายดิเรกฤทธิ์ เจนครองธรรม อดีต สว.จะไปรับฟังคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญด้วยตนเอง.